http://www.thaigov.go.th/
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
หากจะถามว่า มีหรือไม่ “ใครสักคนหนึ่ง” ใครที่ยอมลำบากเพื่อคนอื่น โดยยอมทำงานหนัก ไม่มีข้อแม้ และไม่มีวันหยุด ใครที่มีการศึกษาดี มีสถานะสูง แต่ยอมตากแดด อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำงานบนพื้นดิน ในป่าเขา และพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ผมเชื่อว่าในหัวใจชาวไทยทุกคน คงประจักษ์ดีว่า มี และใครคนนั้น คือ “ในหลวงของเรา” ซึ่งเป็นคำเรียก “พระมหากษัตริย์” ที่พวกเราทุกคนรักและเทิดทูน และเราเรียก “พระราชา” ของเราว่า “ในหลวง” ด้วยความภาคภูมิใจทุกครั้ง
“การทรงงาน 70 ปี เพื่อพวกเรากว่า 70 ล้านคน” ของ“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ผู้ทรงครองราชย์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” และทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” โดยที่พระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งให้ประชาชนคนไทย ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโดยลำพัง แต่นับจากนี้ไป ความสุขเหล่านั้น จะไม่มีอีกแล้ว แต่โชคดีที่คนไทยยังมีรัชกาลที่ 10 ที่ทรงรักษาสืบสานต่อยอดสิ่งเหล่านี้ต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความวิปโยคโศกศัลย์ เป็นวันที่ความเศร้าสลดสูญเสียท่วมท้นจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เมื่อสำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตรเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว สุดที่คนไทยจะหักห้ามความอาลัยรัก และความระลึกถึง ที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบดั่ง “พ่อของแผ่นดิน” ได้ โดยความกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดี ก็จะยังอยู่ในจิตใจของพวกเรา พสกนิกรของพระองค์ตลอดไป
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่พ่อของแผ่นดินได้อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมีมากมายเกินกว่าจะเอ่ยได้ครบถ้วน ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ “พ่อ” คนหนึ่งพึงจะทำให้กับ “ลูก” อย่างดีที่สุด ด้วยต้องการให้ลูกมีรากฐานที่ดีในการดำรงชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดีทัดเทียมผู้อื่น และที่สำคัญคือมีความสงบสุขร่มเย็น แต่งานของพระองค์ยากกว่าภารกิจของพ่อโดยทั่วไปมากนัก เพราะทรงมี “ลูก” หลายสิบล้านคน ทำให้พระองค์ต้องทรงงานหนัก ประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ด้วยความรักและความห่วงใย ซึ่งผมขอกล่าวโดยสรุป เป็น 3 ประการ คือ
ประการแรก คือ ทรงดูแลพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา บนผืนแผ่นดินไทย ด้วยความเสมอภาค ให้ลูกหลานไทยทุกคน “อยู่ดีกินดี” โดยทรงสอนให้เรียนรู้และอยู่กับธรรมชาติ อย่างสมดุล ทั้งดิน – น้ำ – ป่า ด้วยการทำนุบำรุง ฟื้นฟู และใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติ อย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างฝายชะลอน้ำ แก้มลิง และฝนเทียม เป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้และโครงการพระราชาดำริ กว่า 4,500 แห่งทั่วประเทศ ทรงสอนข้าราชการให้ทำงานกับประชาชน โดยเริ่มที่ “การปลูกป่าในใจคน” หมายถึง การปลูกจิตสำนึกของคน ให้เห็นคุณค่าและเห็นประโยชน์ร่วมกันเสียก่อน แล้วทุกคนก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง โดยไม่เป็นการยัดเยียด แต่ต้องให้ “ระเบิดจากข้างใน” จึงจะเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานความสมัครใจที่มีความยั่งยืน ทรงให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาคน ทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข ด้วยทรงเห็นว่า “พลเมือง” เป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ถ้าประชาชนไม่ได้รับการศึกษาก็จะไม่มีการพัฒนาตนเอง ถ้าประชาชนไม่มีสุขภาพกายและใจที่เข้มแข็ง ก็ไม่มีเรี่ยวแรงสำหรับทำงาน เอาชนะอุปสรรค หรือพัฒนาบ้านเมือง โดยพระองค์ได้เสด็จฯ ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อให้บัณฑิตใหม่ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและช่วยกันพัฒนาส่วนรวมและประเทศชาติสืบต่อไป ทรงสอนหลักการใช้ชีวิต โดยทรงเป็น “ตัวอย่าง” ด้วยพระองค์เอง เช่น การประหยัดใช้ดินสอจนหมดแท่ง ใช้ยาสีฟันจนหมดหลอดรวมไปถึงการออม การรู้จักพอเพียง การพึ่งพาตนเอง และการทำงานอย่างมีความสุขเป็นต้น ที่สำคัญคือ ทรงพระราชทาน “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ความพอประมาณ – ความมีเหตุผล ภูมิคุ้มกัน และเงื่อนไข “ความรู้ + คุณธรรม” เพื่อเป็นแนวการดำรงชีวิต และการปฏิบัติตนให้สมดุลและพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอก และโลกาภิวัฒน์ อย่างรู้เท่าทัน
พระเกียรติคุณดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก โดยทรงได้รับการขนานนามว่าทรงเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” จากการทรงงานโดยมิรู้เหน็ดเหนื่อย ทรงงานด้านการพัฒนาชนบท ทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรที่ยากไร้และด้อยโอกาสทั่วทุกภูมิภาค ทรงสดับตรับฟังปัญหาทุกข์ยากของราษฎร จนทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปแบบการพัฒนาภายใต้แนวคิดใหม่นี้ โดยองค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว รวมทั้งได้จัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติ อีก 2 ครั้ง สำหรับการถวายราชสดุดี และถวายความอาลัย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ภายหลังการเสด็จสวรรคต และเมื่อครบรอบ 1 ปีการเสด็จสวรรคตของพระองค์ อีกด้วย
นอกจากนั้น ยังได้อัญเชิญแนวปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง ซึ่งหลายประเทศได้มีความสนใจศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อน้อมนำไปประยุกต์ใช้แล้ว ในปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กษัตริย์จิกมี เคเซอร์นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ที่ทรงมีความรัก ความเคารพ และทรงยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เป็นบุคคลสำคัญ และเป็นแบบอย่างที่ดี ในการมุ่งมั่นทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งพระองค์เอง ก็ได้น้อมนำ “หลักการทรงงาน” หรือ “ศาสตร์พระราชา” ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ ในฐานะพระประมุขของประเทศด้วยเช่นกัน
ประการที่ 2 ในบทบาท “พ่อของแผ่นดิน” พระองค์ทรงเตรียมความพร้อมให้ “คนไทย” สามารถก้าวเดินเข้าสู่โลกกว้างได้อย่างสง่างาม โดยทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักยอมรับ และได้รับการสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ และการให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ อีกทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยความจริงใจ และทรงทำหน้าที่การเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างอบอุ่นด้วยทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลก เป็นรากฐานให้ลูกหลานไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในสังคมโลก ด้วยทรงเป็น “ประมุขแห่งรัฐ” และทรงตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมโลก ทั้งความสำคัญด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ระหว่างประเทศไทยกับนานาอารยประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะช่วยยกระดับฐานะของประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพสกนิกรหรือ “ลูกๆ” ของพระองค์ให้ทัดเทียมสากล
ด้วยบทบาทของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ดังกล่าว ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจำนวน 25 ประเทศจากทั้งสิ้น 29 ประเทศทั่วโลกตอบรับคำเชิญของรัฐบาลไทยโดยมีพระประมุขหรือผู้แทนพระองค์ เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เพื่อทรงร่วมถวายพระพร ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมานับเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก
และล่าสุด ทางการสวีเดน จะจัดพิธีสำคัญ เนื่องจากการเสด็จสวรรคต เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ แด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ซึ่งเคยได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟีมซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของสวีเดน ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ วันเดียวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยกองทหารเกียรติยศสวีเดน จะอัญเชิญตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรจากพระราชวังสต็อกโฮล์ม ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ฝังพระศพของราชวงศ์สวีเดน อันเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ใกล้ชิด ระหว่างพระราชวงศ์ ประชาชน และประเทศ ทั้ง 2 ด้วย
อนึ่ง ในการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อต้นเดือนนี้ผมในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ได้เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยรับมอบ “สำเนามติ” ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่าด้วยการเทิดพระเกียรติและแสดงความรำลึกแด่“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ซึ่งทรงงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์ ตลอดรัชสมัย 70 ปีแห่งการครองราชย์ และในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถด้านการทูตเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ระหว่างประชาชน “ทั้ง 2 ประเทศ”
สำหรับประการสุดท้ายที่สำคัญยิ่ง คือ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงเป็น “จุดศูนย์รวมจิตใจ” ของพสกนิกรชาวไทย ทั้งชาติ ทรงพระราชทาน “ส.ค.ส.ปีใหม่” พร้อมคำอวยพร เพื่อสร้างขวัญและเพิ่มกำลังใจ ให้กับพวกเรา เป็นประจำทุกปี ทรงให้ข้อคิดในการดำรงชีวิตเช่น ไม่ให้พวกเรายอมแพ้ต่ออุปสรรค โดยพึงมี “ความเพียรอันบริสุทธิ์” ดังเช่น พระมหาชนกตามบทบทพระราชนิพนธ์ในพระองค์ ทรงให้กำลังใจทุกครั้ง ในคราวที่ประเทศชาติและประชาชน ประสบความทุกข์ยาก หรือสาธารณภัย ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง พายุเกย์ ปี 2532 สึนามิ ปี 2547 ทรงสอนพวกเราให้รู้จักการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อส่วนรวม โดย “คำพ่อสอน” ส่วนหนึ่ง สามารถสรุปใจความได้ว่า “หากสังคมไม่มีความสุขคนในสังคมก็จะหาความสุขไม่ได้” นอกจากนี้ ทรงให้สติและทางออกของทุกปัญหา รวมทั้งวิกฤตการเมืองในประเทศทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา จนทำให้พวกเรา ตระหนึกถึง “ความรักและความสามัคคี” เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ของคนในชาติ
ทั้งหมดนี้ ถือเป็นการทำหน้าที่ของ “พ่อ” ที่สมบูรณ์แบบ โดยทรงเป็น “พ่อ” ที่ทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทรงเป็น “พ่อ” ด้วยการกระทำและจิตวิญญาณ จวบจนวาระสุดท้ายของพระองค์ และจะทรงเป็น “พ่อ” ที่จะไม่เพียงจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกๆ ชาวไทยทุกคนและจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลก ด้วยเช่นกัน
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก ทุกท่าน ครับ
จากวันนั้น วันที่พวกเรา “ลูกของพ่อ” จับมือกัน ร่วมฝ่าฟัน ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ความท้อแท้ ความสิ้นหวัง และหมดเรี่ยวแรงกำลังใจท่ามกลางความทุกข์โศก จนถึงวันนี้ เราต้องแสดงให้พ่อเห็น ว่าพ่อได้สร้างให้เรามีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง เพื่อให้พ่อหายเหนื่อยและยิ้มได้ ทั้งนี้ “1 ปี ที่ผ่านมา” ทำให้เราทุกคน ประจักษ์แก่ใจตนว่า พระเกียรติคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ยังคงสถิตอยู่ในดวงใจของพวกเรามิรู้ลืม บัดนี้ เราทุกคนได้สำนึกร่วมกันแล้วว่า “ศาสตร์แห่งพระราชา” ที่พระราชทานไว้แก่ปวงชนชาวไทยตลอดเวลา 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ อันจะนำมาซึ่งความสุขสวัสดี อย่างยั่งยืน และจากนี้สืบไป ปวงชนชาวไทย ก็จะยังคงยึดมั่นในความจงรัก ความภักดี และความเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีความผูกพันกับ “คนไทย” และ “ชาติไทย” มากว่า 700 ปีแล้ว ทั้งนี้ ด้วยพระบารมีแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์บดินทรเทพยวรางกูร “รัชกาลที่ 10” ที่จะทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นหลักชัย และเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวไทยทั้งชาติ ในการร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของ “พระบรมชนกนาถ” และสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์แห่งราชวงศ์จักรี ในการทำนุบำรุง ปกปักษ์ รักษา ประเทศไทยไว้เพื่อลูกหลานไทยตราบนานเท่านาน
รัฐบาลขอให้คำมั่นแก่พี่น้องประชาชนคนไทยว่าเราจะร่วมกันทั้ง “จิตอาสาเฉพาะกิจฯ” ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง “พลังประชารัฐ” และทุกภาคส่วนในสังคมไทย ในการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 26 ตุลาคม ที่จะมาถึงนี้ ให้เรียบร้อยสมบูรณ์ที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ ผมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ร่วมกันทำความดี ร่วมกันสวดภาวนาตามศาสนาที่ทุกท่านนับถือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” พระมหากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรของพระองค์โดยมิเคยเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย
วันนี้ “พระราชภารกิจ” ได้ปลดเปลื้องลงแล้ว ทว่าผลแห่งพระวิริยะอุสาหะที่ทรงอุทิศพระองค์ รวมทั้งมรดกพระราชทาน อันได้แก่ “ศาสตร์พระราชา” ทั้งหลายตลอดรัชสมัย จะยังคงเป็นพระบารมีปกเกล้าปวงประชาให้อยู่เย็นเป็นสุข และปกป้องแผ่นดินไทยให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง ทั้งนี้ วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีนับจากนี้สืบไป จะไม่เป็นเพียงวันที่ปวงชนชาวไทย จะได้สำนึกและรำลึกถึงพระองค์ท่าน “พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง” เท่านั้น แต่จะเป็นวันที่พวกเราทุกคน จะได้ “รู้ รัก สามัคคี” โดยหลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว ให้สมกับที่พระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดิน ได้ทรงวางรากฐานไว้ โดยพวกเราต้องร่วมกันสืบสานสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ให้คงอยู่ตลอดไป และพระองค์จะทรงประทับอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งชาติชั่วกาลนาน
ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” ร่วมกันทำดีเพื่อพ่อ และสานต่อพระราชปณิธาน เพื่อให้พระองค์ท่านหายเหนื่อยและมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ
…………………
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
Matemnews.com 14 ตุลาคม 2560