นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2560 ว่า มีสัญญาณบวกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศจะเปิดให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 การมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งนั้น ส่งผลดีในด้านเศรษฐกิจ นักลงทุนกล้าลงทุน เชื่อว่าแนวโน้นเศรษฐกิจไทยจะไม่แย่ลง แต่จะนำไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น หาก คสช.เดินหน้าตามที่ประกาศไว้ เพราะสัญญาณบวกที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าประชาชนอยากให้มีการเลือกตั้ง ขณะที่นักลงทุนต่างก็อยากเห็นทิศทางที่ชัดเจนของประเทศไทย เพื่อจะได้วางแผนการลงทุน โดยเฉพาะการร่วมลงทุนใหญ่ของรัฐบาลในโครงการเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ(อีอีซี) หากรัฐบาลไม่มีความชัดเจน นักลงทุนคงไม่มีความเชื่อถือ
นายพิชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเชื่อมั่นต่อประเทศไทยน้อยลงมาก ในปี 2558 สื่อต่างประเทศรายงานว่าการลงทุนหายไป 90% ส่วนปี 2559 หายไปอีก 60 – 63% และถ้าไม่มีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยก็จะแย่ลงตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นของประชาชนในห่วงที่ผ่านมานั้น นับว่าเป็นปัญหาอยางมาก เพราะทั้งผู้มีรายได้ปานกลางและผู้มีรายได้น้อย แต่ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย
“เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลประกาศวันเลือกตั้ง ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยิ่งต้องทำ เพราะหลายประเทศจับตาดูอยู่ และที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาอย่างมากในเรื่องของความมั่นใจ ได้แต่หวังว่าจะเป็นไปตามที่ประกาศจริง คือเลือกตั้งพฤศจิกายน 2561 อาจได้รัฐบาลไหม่ต้นปี 2562 จากนั้นการลงทุนที่หายไปกลับคืนมา เมื่อเลือกตั้งแล้วเสร็จ การเจรจาการค้าต่างๆก็จะเกิดขึ้นโดยง่ายและมีความเชื่อมั่นมากขึ้น เช่นเดียวกับประชาชนที่จะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น”นายพิชัย กล่าว
ทางด้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นหลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับวันเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ในเดือนพ.ย.61ว่า ไม่อยากให้มองว่า การเลือกตั้งเป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัว เพราะที่ผ่านมานักลงทุนไทย และต่างประเทศต่างมีความเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการออกนโยบายปฏิรูปประเทศหลายด้าน ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานและสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศในระยะยาว รวมถึงตลาดหุ้นด้วย
“ไม่อยากให้มองว่า ตลาดหุ้นเป็นเรื่องเฉพาะของคนที่มีฐานะเท่านั้น เพราะการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนทั้งหลาย มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับประชาชนหลายสาขาอาชีพ ตั้งแต่ผู้ประกอบการทุกระดับไปจนถึงเกษตรกรจำนวนมากที่อยู่ในห่วงโซ่นี้ นอกจากจะเป็นแหล่งระดมทุนของผู้ประกอบกิจการแล้ว ยังเป็นช่องทางการออม และสร้างดอกผลจากการลงทุนของประชาชนทุกคนได้อีกด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสามารถพัฒนาการบริหารจัดการจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 ของตลาดหลัก ทรัพย์ที่มีความยั่งยืนจากทั่วโลก และเป็นตลาดหลักทรัพย์ของเอเชียรายเดียวที่ติดใน 10 อันดับแรก จากรายงานการวิจัย Measuring Sustainability Disclosure 2017 โดย Corporate Knights และ AVIVA โดยนับเป็นความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดจากเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกจัดอันดับอยู่ที่ 40
นอกจากนี้ยังได้รับรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน โดยส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลและรับผิดชอบต่อสังคมในทุกมิติ ซึ่งเป็นตามมาตรฐานสากล สำหรับ 10 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ที่มีความยั่งยืนของโลก ได้แก่
- ตลาดหลักทรัพย์เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ 2. ตลาดหลักทรัพย์สตอกโฮล์ม สวีเดน 3. ตลาดหลักทรัพย์ยูโรเน็กซ์-ปารีส ฝรั่งเศส 4.ตลาดหลัก ทรัพย์ลอนดอน อังกฤษ 5.ตลาดหลัก ทรัพย์ออสโล นอร์เวย์ 6.ตลาดหลัก ทรัพย์ยูโรเน็กซ์-อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ 7. ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย 8. ตลาดหลักทรัพย์โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก 9. ตลาดหลักทรัพย์ฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ และ 10. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Matemnews.com 14 ตุลาคม 2560