Home ข่าวทั่วไปรอบวัน อะไรคือสิ่งที่ “พิชัย  นริพทะพันธุ์ ” เย้ย “สมคิด” บอกไม่หมด

อะไรคือสิ่งที่ “พิชัย  นริพทะพันธุ์ ” เย้ย “สมคิด” บอกไม่หมด

1536
0
SHARE

 

 

 

“พิชัย  นริพทะพันธุ์ ” เย้ย “สมคิด” บอกไม่หมด ก่อนปฏิวัติ ความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยอยู่อันดับที่ 18 ดีกว่าที่ 26 ตอนนี้ สาเหตุที่อันดับทรุดลงไปที่ 46 มาจากการปฏิวัติ  ชี้ สะดวกลงทุนแต่ไม่มีคนมาลงทุนก็ไม่มีประโยชน์ แนะ เร่งแก้ปัญหาตรงจุด

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน  แถลงแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อตอนเช้าวันที่ 4 พ.ย.2560 ว่า ตามที่รัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ออกมาแสดงความดีใจที่ธนาคารโลกจัดอันดับความสะดวกในการลงทุนของไทยดีขึ้น 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 26 โดยอ้างว่าเป็นความสำเร็จในการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็นความจริงแค่บางส่วน

 

ทั้งนี้อยากให้ข้อมูลที่เป็นจริง เพราะหากมองย้อนหลังจะพบว่า ก่อนการปฏิวัติรัฐประหาร   อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจอยู่ที่ อันดับที่ 18 ในปี 2556 และ ปี 2557

 

และตั้งแต่มีการจัดอันดับตั้งแต่ปี 2547-2557 ประเทศไทยอยู่อันดับ 12-19 มาโดยตลอด

 

อันดับมาตกลงอย่างหนักหลังการปฏิวัติ โดยในปี 2558 ตกลงมาอยู่ที่ 46 หรือตกลงถึง 26 อันดับ (ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวหรือไม่)

 

และตกลงไปถึงอันดับที่ 49 ในปี 2559 และเพิ่งจะฟื้นมาอยู่ที่ 26

 

ซึ่งยังคงต่ำกว่าอันดับเดิมที่ 18 ก่อนจะมีการปฏิวัติ และในอดีตก็ไม่ต้องมี ม.44 ก็มีอันดับที่ดีกว่าได้

 

นอกจากนี้ ก็หวังว่าความสะดวกในการทำธุรกิจที่ดีขึ้นจะสามารถทำให้การลงทุนเพิ่มขึ้น และอยากให้นายสมคิด เปิดเผยยอดการลงทุนที่แท้จริงว่ามียอดเท่าไหร่ เทียบกับก่อนการปฏิวัติแล้วลดลงเท่าไหร่  และที่เชิญกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นมาโปรโมทเขตอีอีซี  500-600 คน แล้วมียอดการลงทุนเท่าไหร่ ซึ่งทราบว่ามียอดลงทุนไม่มากใช่หรือไม่

 

ไม่อยากให้ใช้อันดับความสะดวกในการลงทุนเป็นเพียงแค่เครื่องมือเพื่อการตลาดเท่านั้น แต่การลงทุนไม่เกิดขึ้นจริง และหากการลงทุนเข้ามามากจริง รัฐบาลคงไม่ต้องออก ม. 44 เพื่อเร่งการลงทุน โดยไม่คำนึงผลกระทบในอนาคต

 

ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลพยายามเพิ่มยอดการลงทุนให้ได้มากขึ้นจริงจะดีกว่า เพราะประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มีอันดับความสะดวกในการลงทุนต่ำกว่าไทยมากแต่กลับมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าไทย ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องกลับมามองตัวเองว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เปรียบเสมือนร้านค้าที่ได้คะแนนการให้บริการดีแต่กลับไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ ก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่าจะต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างไร ถ้าสาเหตุเกิดจากการไม่ยอมรับระบอบการปกครองก็ต้องเร่งแก้ปัญหาให้ตรงจุด และการปรับ ครม ก็คงจะไม่ช่วยอะไรนัก

 

อีกทั้งพลเอกประยุทธ์พูดเองว่า คนที่มีความรู้ความสามารถไม่อยากเข้ามาทำงานในรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารนี้ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์มั่นใจว่าจะสามารถได้รับเสียงสนับสนุนให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งได้ จากกลไกรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้แล้ว ก็ไม่ควรจะถ่วงเวลา ปัญหาของประเทศจะได้รับการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง

 

 

 

 

 

 

Matemnews.com  4 พฤศจิกายน 2560