Home ข่าวทั่วไปรอบวัน นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะระหว่างผู้นำเอเปคกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC)

นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะระหว่างผู้นำเอเปคกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC)

832
0
SHARE

 

 

 

 

http://www.thaigov.go.th/

วันนี้ (10 พ.ย. 2560)เวลา 15.30 น. ณ ห้อง Da Nang Ballroom โรงแรม Furama Resort Da Nang นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมเต็มคณะระหว่างผู้นำเอเปคกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี และผู้นำจากชิลี ปาปัวนิวกินี และรัสเซีย ได้เข้าหารือกลุ่มย่อยกับผู้แทน ABAC จากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ อีก 8 คน ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ ภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุมและมีนวัตกรรม และการส่งเสริมความเป็นสากลของวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมและรายย่อย (MSMEs)”

โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีหารือกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ในเรื่องมาตรการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของ MSMEs ในตลาดสากล และความร่วมมือจากภาคธุรกิจในด้านดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า MSMEs ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยในไทยผู้ประกอบการ MSMEs มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 99.7 ของจำนวนกิจการทั้งหมด และ MSMEs ก่อให้เกิดการจ้างงานถึงร้อยละ 80 ของการจ้างงานทั้งหมด รวมถึงสร้างมูลค่าให้กับ GDP ถึงร้อยละ 40 ของ GDP ประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีจำนวนมาก เกือบทั้งหมดเป็นวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม ซึ่งยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการประกอบธุรกิจ ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงมีความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อการส่งเสริมการเติบโต MSMEs ให้มีศักยภาพในการแข่งขันในระดับสากล และสามารถใช้ประโยชน์จากการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล

ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือ MSMEs ด้านการเงิน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยได้จัดตั้งกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม ในวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้ SMEs พัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงตามยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศไทยที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ภาคการเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และการท่องเที่ยว เป็นต้น รัฐบาลไทยได้อนุมัติ สินเชื่อ SME Transformation Loan ที่เน้นสนับสนุน SMEs
ที่ส่งออกหรือขยายธุรกิจในต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ได้จัดตั้งโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs สนับสนุนวิสาหกิจรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้วิสาหกิจเหล่านี้ปรับปรุงกิจการและนำเงินมาหมุนเวียนเพื่อสร้างศักยภาพในการเติบโตต่อไปในอนาคต

สำหรับมาตรการที่ไม่ใช่การเงิน ไทยเน้นเสริมสร้างศักยภาพให้ MSMEs ก้าวสู่การเป็น Smart MSMEs โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดหลักสูตรการอบรมในลักษณะ SME Academy เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความเป็นสากลของ MSMEs โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะสำหรับe-commerce การสร้างองค์ความรู้ด้านการตลาด การพัฒนามาตรฐานสินค้าและบริการให้เทียบเท่าคุณภาพสากล และการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการจัดทำบัญชีอย่างถูกต้องเพื่อพัฒนาธุรกิจที่มั่นคง เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังสนับสนุนในเรื่องการขยายตลาด การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการสร้างมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ “คูปองนวัตกรรม” ที่เป็นการให้เงินช่วยเหลือในรูปแบบคูปองเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสินค้า และส่งเสริมนวัตกรรมผ่านทางผู้ให้บริการนวัตกรรม โครงการ “Pro Active” ที่ส่งเสริมให้ SMEs ไปออกบูธในงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาด โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับโต ซึ่งรวบรวมที่ปรึกษาผู้มีความรู้และประสบการณ์ในการให้คำแนะนำและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจให้แก่ SMEs เป็นต้น

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงตัวอย่างการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมของไทยเพิ่มเติม เช่น การจัดตั้งศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industry Transformation Center หรือ ITC) โดยการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมให้ MSMEs ก้าวสู่ยุคดิจิทัล การจัดตั้งศูนย์บริการ SMEs ครบวงจร หรือ One Stop Service Center (OSS) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ MSMEs เข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้และบริการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ MSMEs เกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศ โดยในอนาคต นายกรัฐมนตรีหวังว่า จะขยาย OSS ไปยังเขตเศรษฐกิจอาเซียนอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ ไทยมีโครงการสร้างความแข็งแกร่งให้ MSMEs ด้านการเกษตร โดยมีเป้าหมายบ่มเพาะผู้ประกอบการ MSMEs และสตาร์ทอัพให้เป็น Smart Farmer กว่า 5000 ราย เพื่อให้สามารถแปรรูปสินค้าและขยายการเข้าสู่ตลาด e-commerce ด้านการเกษตรที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้จัดตั้ง “กลไกประชารัฐ”เพื่อให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐ ในการสนับสนุนทั้ง MSMEs สตาร์ทอัพ และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) เข้าสู่ตลาดสากลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเชื่อมโยงตลาด ให้ MSMEs และสตาร์ทอัพ นำประสบการณ์โดยตรงเหล่านี้ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร โดยโครงการดังกล่าวสามารถเพิ่มพูนศักยภาพและสร้างรายได้ให้กับบริษัทขนาดย่อม 57 ราย ที่เข้าร่วมโครงการตลอดระยะเวลา 1 ปี กว่า 500 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีหวังว่า ในอนาคต ABAC จะมีเข้ามามีบทบาทในการสร้างเครือข่ายที่เป็นรูปธรรมเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดใหญ่กับ MSMEs ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมบริษัทชั้นนำในภูมิภาคเป็นพี่เลี้ยงให้กับ MSMEs

 

 

 

 

นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นำอาเซียน

วันนี้ (10 พ.ย. 2560)เวลา 16.45 น. ณ ห้องOcean Ballroom โรงแรม Furama Resort Da Nang นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นำอาเซียนภายใต้หัวข้อ การร่วมมือกันเพื่อสร้างพลวัตใหม่สำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่บูรณาการและเชื่อมโยงในทุกมิติ (Partnering for New Dynamism for a Comprehensively Connected and Integrated Asia-Pacific)โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณเวียดนามที่จัดให้มีการหารือระหว่างผู้นำเอเปคและอาเซียนในวันนี้ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกก่อตั้งทั้งเอเปคและอาเซียน ไทยเห็นพัฒนาการของทั้งสองกรอบมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนในวันนี้ที่อาเซียนครบรอบ 50 ปี และก้าวสู่การเป็นประชาคมเป็นปีที่สอง นับเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่เอเปคและอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ระหว่างกันเพื่อสร้างพลวัตใหม่ให้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นายกรัฐจึงเสนอมุมมองต่อความร่วมมือระหว่างเอเปคและอาเซียนใน 4 ประเด็น ได้แก่

ประการแรก การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชน รวมถึงความเชื่อมโยงทางดิจิทัล เป็นเครื่องมือผลักดันการบูรณาการทางเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาค โดยไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เหนือ – ใต้ (North – South Economic Corridor)  และได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคและภูมิภาค

ประการที่สอง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้การเจรจา RCEP คืบหน้าไปสู่ข้อสรุปโดยเร็วและต่อยอดไปสู่การจัดทำ FTAAP ในอนาคต ทั้ง RCEP และ FTAAP ควรเป็นข้อตกลงที่ได้มาตรฐานและครอบคลุม ดังนั้น เอเปคและอาเซียนจะต้องร่วมกันสื่อสารผลประโยชน์ของการค้าเสรีและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแก่สาธารณชน

ประการที่สาม เอเปคและอาเซียนควรร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับสังคมสูงวัยและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนบุคลากรในสาขาวิชาชีพซึ่งสามารถต่อยอดจากข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน (Mutual Recognition Agreement หรือ MRA) และกรอบมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพที่เอเปคมีอยู่แล้ว เช่น วิศวกรและสถาปนิก

ประการที่สี่ ไทยสนับสนุนความพยายามในการขับเคลื่อนให้เอเปคและอาเซียนก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียวโดยไทยได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเปรูจัดทำยุทธศาสตร์เอเปคว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยั่งยืน และมีนวัตกรรม (APEC Strategy for Green, Sustainable and Innovative MSMEs) และพร้อมที่จะขยายผลให้เกิดความร่วมมือในประเด็นนี้ในกรอบอาเซียนต่อไป

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีหวังว่าเอเปคและอาเซียนจะเป็น “หุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์” โดยสร้างความสอดคล้องระหว่างวิสัยทัศน์ของเอเปคหลังปี 2563 (ค.ศ. 2020) วิสัยทัศน์อาเซียนปี 2568 (ค.ศ. 2025) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม

 

 

 

นายกรัฐมนตรีเข้าหารือทวิภาคีกับผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง

วันนี้ (10 พ.ย. 2560) เวลา 18.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนางแคร์รี หล่ำ (The Honorable Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ณ ห้อง Gallery 2 โรงแรม Furama Resort Da Nang นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้พบผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงอีกครั้ง หลังจากที่ได้พบกันเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา               ที่ประเทศไทย และยินดีที่ทราบว่าภายหลังการเยือนดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกล่าวขอบคุณที่รัฐบาลฮ่องกงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของไทยเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญหลายกิจกรรม       อาทิ การประชุม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” การประชุมทางทะเลและโลจิสติกส์แห่งเอเชีย (Asian Logistics and Maritime Conference – ALMC) ครั้งที่ 7 และการประชุม Asian Financial Forum (AFF) ครั้งที่ 11
นายกรัฐมนตรีและผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้หารือถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนของภูมิภาคและเป็นประตูสู่จีน การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงจะช่วยสร้างความต่อเนื่องของการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันโดยเฉพาะการเป็นประตูสู่ภูมิภาคซึ่งกันและกัน นายกรัฐมนตรียังยินดีที่ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงประกาศจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย (Hong Kong Economic and Trade Office – HKETO) รัฐบาลพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการและผ่านตามกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งสองฝ่ายต่างหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย การเยือนไทยของประธานสภาพัฒนาการค้าฮ่องกงและคณะนักธุรกิจจากฮ่องกงและนครเซี่ยงไฮ้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม และการเยือนของคณะนักธุรกิจจากฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้งเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา จะช่วยทำให้ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-ฮ่องกงและมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มมากมากยิ่งขึ้น
ในโอกาสนี้ ฮ่องกงได้แสดงความสนใจในการส่งเสริมนักลงทุนฮ่องกงเข้ามาลงทุนใน EEC พร้อมทั้ง ผลักดันความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและ การออกแบบแฟชั่นด้วย

Matemnews.com  10 พฤศจิกายน 2560