ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 9 น.วันที่ 6 ธ.ค.2560 ศาลออกนั่งบัลลังค์ อ่านคำพิพากษาคดีพยายามฆ่าผู้อื่นฯ หมายเลขดำที่ อ.2868/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง
นายวัฒนา ภุมเรศ
อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อนฯ และทำให้เกิดระเบิดจนมีผู้บาดเจ็บสาหัส
กรณีเมื่อวันที่ 21-22 พ.ค. 2560 เวลากลางวัน จำเลยได้ประกอบทำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเองเป็นระบบไฟฟ้า (Electric Firing Circuit) หรือ IC TIMER ตั้งเวลาเป็นตัวจุดระเบิดประกอบกับวัตถุระเบิดแรงต่ำ (LOW EXPLOSIVE) ชนิดแดง-ดำ (BLACK POWDER) ชนิดไปป์บอมบ์ ใส่ไว้ในท่อพีวีซี 4 ชุด และใส่ในกระถางต้นไม้ 1 ชุด ที่บ้านพักย่านบางเขน ก่อนนำใส่ไว้ในแจกันดอกไม้ 1 ชุด ขึ้นรถโดยสารลอบไปติดไว้ที่ฝาผนังภายในห้อง “วงษ์สุวรรณ” รพ.พระมงกุฎเกล้า จนเกิดระเบิดขึ้นทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 21 ราย ทรัพย์สินเสียหายหลายรายการมูลค่า กว่า 1 ล้านบาท โดยจำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เบิกความว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2560 ได้รับแจ้งเหตุเกิดระเบิดที่บริเวณจุดนั่งรอรับยา รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบเศษวัตถุระเบิด ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเอง และเมื่อได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ช่วงเวลาที่ใกล้กับเวลาเกิดเหตุ พบชายต้องสงสัยได้ถือแจกันดอกไม้ที่ใส่ไว้ในถุงพลาสติกเดินมาบริเวณที่เกิดเหตุ และขากลับออกไปในมือไม่ได้ถือแจกันดอกไม้อีก ซึ่งรูปพรรณสัณฐานผู้ต้องสงสัยนั้นมีลักษณะคล้ายกับจำเลย จึงได้มีการขอศาลออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวจำเลยได้ในเวลาต่อมา
การสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า จำเลยได้นำระเบิดที่ประกอบใส่ไว้ในรถที่จอดอยู่ใน กฟผ. โดยเช้าของวันที่ 22 พ.ค.2560 จำเลยได้นำวัตถุระเบิดดังกล่าวไปยังโรงพยาบาล
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) ก็เบิกความถึงชนิดระเบิดว่า ผลิตจากท่อพีวีซีที่ใส่หัวตะปู มีการตั้งเวลา โดยรัศมีที่จะก่อให้เกิดอันตรายจากระเบิดมีระยะ 5-10 เมตร
พยานทั้งสองปากดังกล่าวไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงเชื่อว่าไม่มีเหตุปรักปรำจำเลย ขณะเดียวกันจำเลยเป็นผู้นำชี้จุดสถานที่เกิดเหตุให้รายละเอียดถูกต้องตรงกัน รวมทั้งเมื่อตรวจเจอแผนผังวงจรประกอบระเบิดที่เขียนไว้ในกระดาษที่บ้านพักของจำเลย เป็นวงจรแบบเดียวกับที่ใช้ในการก่อเหตุ และเมื่อให้จำเลยทดลองประกอบก็สามารถทำได้ตามแผนผัง ซึ่งระเบิดนั้นจะทำให้เกิดระเบิดได้ อีกทั้งเมื่อตรวจสอบลายนิ้วมือก็พบว่าตรงกับชนิดวัตถุระเบิดในพื้นที่เคยเกิดเหตุที่หน้ากองสลากฯ และโรงละครแห่งชาติ ซึ่งหากจำเลยไม่ได้กระทำเองหรือก่อเหตุดังกล่าวก็ยากที่พนักงานสอบสวนจะให้รายละเอียดได้ รายละเอียดนั้นก็เกี่ยวกับครอบครัวจำเลย รวมทั้งแรงจูงใจการก่อเหตุ และวิธีการซึ่งมีรายละเอียดมาก ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ซึ่งการกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
พิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และทำให้เกิดระเบิดจนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
กระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 221, 222, 224 วรรคสอง ฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 358 ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตฐานทำให้เกิดระเบิดจนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 224 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักสุด,
ฐานประกอบวัตถุระเบิดซึ่งทำให้เกิดระเบิด ให้จำคุก 3 ปี,
ฐานครอบครองยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 1 ปี
ฐานนำวัตถุระเบิดไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับ 1,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง
คงจำคุกจำเลยฐานทำให้เกิดระเบิดฯ 25 ปี,
ฐานประกอบวัตถุระเบิดฯ จำคุก 1 ปี 6 เดือน,
ฐานครอบครองยุทธภัณฑ์ฯ จำคุก 6 เดือน
ฐานนำวัตถุระเบิดไปในที่สาธารณะฯ ปรับ 500 บาท
จึงรวมจำคุกทั้งสิ้น 26 ปี 12 เดือน ปรับ 500 บาท
พร้อมให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีครอบครองวัตถุระเบิดที่บ้านพักจำเลย คดีหมายเลขดำ อ.2869/2560 ที่ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2560 ในข้อหาประกอบและมีวัตถุระเบิด และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองที่ให้จำคุก 4 ปี ปรับ 975 บาท ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีการยื่นอุทธรณ์
matemnews.com 6 ธันวาคม 2560