พล.ต.ท.ชินทัต มีศุข รองผู้ว่าฯกทม. เป็นประธานแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน ที่ศาลาว่าการ กทม. เมื่อบ่ายวันที่ 21 ธ.ค. 2560ว่าด้วย แคมเปญรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และมูลนิธิบลูมเบิร์ก
พล.ต.ท.ชินทัต กล่าวว่า กรุงเทพฯ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.60-3 ม.ค.61 เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บและการเสียชีวิตในช่วง 7 วันอันตราย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปีนี้รณรงค์ขับขี่ความเร็วที่ 30 กม./ชม. สำหรับถนนในเขตชุมชน ที่มีจราจรผิวกว้างไม่เกิน 7 เมตร และไม่มีไหล่ทาง ซึ่งมีข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรอยู่แล้ว นำมาบังคับใช้ให้ชัดเจนขึ้น เพราะถนนสายรองเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากกว่าสายหลัก ทั้งนี้สามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันนี้ และเร่งขยายต่อไป เนื่องจากกรุงเทพฯ มีจุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างมาก ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับต้องใช้เวลา
อีกทั้งการบังคับใช้เป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจนอกจากนี้ยังได้ตั้งจุดบริการประชาชน 6 จุด ดูแลอำนวยความสะดวกเส้นทางเข้า-ออกกทม. เพื่อลดสถิติอุบัติเหตุและเสียชีวิต ได้แก่ เขตบางนา (ฝั่งขาออก) เขตบางขุนเทียน (ฝั่งขาออก) เขตทวีวัฒนา เขตหนองจอก เขตดอนเมือง และเขตหนองแขม (ฝั่งขาออก)
พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผบช.น.ระบุว่า ช่วงวันที่ดังกล่าวมีประชาชนพื้นที่กรุงเทพฯ เดินทางไปท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาอย่างหนาแน่น โดยปีนี้เน้นย้ำกวดขันวินัยจราจร หวังลดจำนวนอุบัติเหตุและเสียชีวิต โดยเฉพาะเมาแล้วขับ เพราะความปลอดภัยต้องมาเป็นอย่างแรก จึงได้นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น เครื่องตรวจจับความเร็ว และวัดปริมาณแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตามสำหรับจุดบริการ 6 จุดดังกล่าว มีมาตรการควบคุมการสวมใส่หมวกกันน็อก 100% เพราะยานพาหนะที่เกิอุบัติเหตุสูงสุด คือรถจักรยานยนต์ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะไม่เน้นจับกุม แต่จะให้ยืมหมวกกันน็อกใส่ แล้วค่อยขับผ่านจุดบริการไปได้
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เปิดเผยว่า การกำหนดเขตพื้นที่ให้เกิดความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะเขตชุมชน ถ้าจะให้ดีต้องขับไม่เกิน 30 กม./ชม. เพราะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้คนเดินเท้าเมื่อถูกชน โดยค่าเฉลี่ยภาพรวมทั้งประเทศ ในจำนวน 100 คนที่เดินเท้าถูกชนจะเสียชีวิต 8 คน แต่สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ จะสูงถึง 11 คน ทั้งนี้เปรียบเทียบความเร็วกับการตกจากตึกสูง ที่ความเร็วเพียงแค่ 60 กม./ชม. แรงชนจะเท่ากับตกตึก 5 ชั้น อัตราการเสียชีวิต 80% แต่ที่ความเร็ว 30 กม./ชม. จะลดอัตราการเสียชีวิตจากแรงชนได้ 3-4 เท่า โอกาสรอดมากถึง 90% อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ได้ควบคุมความเร็วตลอดเส้นทาง แต่เป็นเพียงการบังคับใช้ในเขตชุมชน คนเดินถนนก็จะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
Matemnews.com 21 ธันวาคม 2560
