“วันนี้เป็นงานสำคัญ ทำให้ประเทศ ในฐานะเป็นข้าราชการของในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการของประชาชน ไม่ว่า ตำรวจ ทหาร ต่างทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฉะนั้นวันนี้ถือเป็นช่วงระยะเวลาเปลี่ยนไปสู่การมีประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน ที่ใช้คำว่าไทยนิยม หมายความว่า ประเทศไทย คนไทยมีอัตลักษณะที่มีความแตกต่างกับหลายๆประเทศในโลก บางครั้งไม่ค่อยคำนึงถึงหลักการ และความถูกต้องมากนัก เพราะเรานิสัยแบบไทยๆ ชอบอะไรก็ชอบ ผมใช้คำว่า ไทยนิยม ต้องการให้คนไทยนิยม ทำแต่ในสิ่งที่เป็นความดี ความงาม ความถูกต้อง มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นคนดี และคนเก่ง นั่นคือ ไทยนิยมในทางที่ถูกต้อง ซึ่งคำว่า ไทยนิยมประชาธิปไตยคือ เราต้องนิยมประชาธิปไตยที่ไม่ทิ้งหลักการประชาธิปไตยสากล ผมไม่เคยให้ยกเลิกตรงโน้น ตรงนี้ ไม่มี ระยะระยะเวลาต่อจากนี้ สำคัญสุดสำหรับพวกเราทุกคน ในการบริหารราชการ และทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อหลุดพ้นกับดักจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้ระดับสูงอย่างยั่งยืน ต้องเตรียมพร้อมให้ผู้บริหารภาครัฐให้มีกรอบคิด และการทำงาน ขอบคุณที่ผ่านมาทุกคนพยายามทำอย่างเต็มที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านในระยะ 3 ปี หลายท่านมีทั้งเข้าใจ ไม่เข้าใจ และคิดว่า ยุ่งยาก จริงๆแล้วเราต้องอดทน เพราะทุกวันนี้ผมพยายามทำเต็มที่ ในหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคช่วงนี้ไปได้ สู่การปฏิรูปร่วมกัน การเสนองบประมาณจากนี้ไปต้องสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น ประชาธิปไตยไทยนิยมที่ผมคิดขึ้นมา ไม่ได้มุ่งหวังการเมือง มุ่งหวังเพียงแค่ทำอย่างไรให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสิ่งที่มีปัญหามาตลอด ทั้งความยากจน ความขัดแย้ง ซึ่งเริ่มทำใน 3 ปีที่ผ่านมา ผมไม่อาจกล่าวอ้างว่า ทำได้ดีที่สุด แต่ว่าได้เริ่มทำในแนวใหม่ขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง และต้องการพัฒนาคนให้มากที่สุด เข้าใจว่า ทุกคนมีปัญหา คนทำงานก็อยากขึ้นเงินเดือน ทั้งนี้การขึ้นเงินเดือนจะต้องพิจารณาโดยรวมในการทำงานของรัฐบาลนั้น จะต้องวางแผนในระยะเริ่มต้น 5 ปี จึงต้องมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลลงทุนมากเกินไป อย่างไรก็ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น บัตรคนจน ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ประชานิยม แต่เราทำเพื่อทุกคนให้มีความเท่าเทียมกัน โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสเพื่อผู้มีรายได้น้อย เพราะเรื่องของความเท่าเทียมและความยากจน ส่วนใหญ่มักจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ไทยนิยมต้องเป็นไปในทางที่ดี ขัดแย้งกันไม่ใช่ไทยนิยม ผมไม่รู้จะใช้คำไหน มีใครแนะนำคำอื่นอีกไหม ถ้าให้ใช้ผมใช้ไทยนิยม ผมอ่านหนังสือมาก็นึกๆเอา ไม่มีใครมาบอกผม และผมก็มีคำอธิบายของผมได้ว่า อะไรคือไทยนิยม อะไรคือประชารัฐ อะไรคือความยั่งยืน ตอบคำถามได้ทั้งหมด และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูป ต่อไปนี้คำเหล่านี้ต้องติดหู ติดตา ติดปากประชาชนและข้าราชการ ใครง่วงหาวหวอดๆ ผมก็นอนดึกนะ แต่ผมไม่ได้เลี้ยงลูก แต่ลูกเราก็คือลูกเรา นั่นคือไทยนิยม เลี้ยงลูกเลี้ยงไปเลี้ยงมาลูกเป็นพ่อ นั่นแหละไทยนิยม วันข้างหน้าจะลำบาก เราต้องสร้างความเข้มแข็งให้เขา แผนพัฒนาประเทศที่ทำผมไปคุมใครที่ไหน และจะสืบทอดอำนาจของตนตรงไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่เขาเขียนนั่น ยุทธศาสตร์คืออะไร ความมั่นคงจะต้องทำอะไรบ้าง แบบนั้นผมไปคุมให้เหรอ ผมไม่ได้บอกว่า ต้องทำอย่างไรด้วยซ้ำไป แผนสภาพัฒน์ฯ ก็ไม่ได้เขียน ผมจะไปได้ประโยชน์ตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมสวดมนต์ทุกคืน สวดให้ประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ และตอนนี้ยังสวดมนต์ให้ คสช. ด้วย เอาตัวให้รอด และผมไม่ใช่ศัตรูของท่าน วันหน้าผมก็คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เป็นไปตามโรดแมป”
ข้างต้น เป็นคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดสัมมนานักบริหารระดับสูงเพื่อการบูรณาการการพัฒนาประเทศ 4.0 และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ”ผู้บริหารส่วนราชการกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ : One Country One Team” ที่ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อเช้าวันที่ 22 มกราคม 2561
matemnews.com 22 มกราคม 2561