Home ข่าวทั่วไปรอบวัน ประหารชีวิต “ไซซะนะ”ลดโทษเหลือคุกตลอดชีวิต

ประหารชีวิต “ไซซะนะ”ลดโทษเหลือคุกตลอดชีวิต

1537
0
SHARE

 

 

ศาลออกนั่งบังลังค์ ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อตอนเช้าวันที่ 20 มีนาคม 2561  ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น  ต่อหน้าจำเลย “นายไซซะนะ แก้วพิมพา” (Xaysana Keopimpha) อายุ 42 ปี  ชาว สปป.ลาว ที่ถูกเบิกตัวมาจากจากทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง  คดีหมายเลขดำที่ อย.1642/2560 โดยอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง  “นายไซซะนะ แก้วพิมพา” เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันนำเข้ายาบ้าซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66 และ 100/1 และ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 4-5, 8, 14

จำเลยกับพวกซึ่งอยู่ที่ สปป.ลาว รวมกันทำหน้าที่จัดหายาเสพติด รวมทั้งรถยนต์สำหรับซุกซ่อน และรถยนต์นำทางในการขนลำเลียงยาเสพติด  มีพวกของจำเลยที่อัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาไว้แล้วรวม 6 คน  ร่วมกระทำผิดในการทำหน้าที่ขับรถรับยาเสพติดจาก สปป.ลาว เข้ามาในประเทศไทยเพื่อส่งต่อ  พวกจำเลยได้มีการขับรถนำทางและสำรวจเส้นทางเพื่อตรวจสอบว่ามีด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ ก่อนที่จะประสานติดต่อกันเพื่อส่งมอบยาให้กับเครือข่ายยาเสพติดทางภาคใต้ของไทย   และประเทศมาเลเซียต่อไป

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2559 จำเลยกับพวกที่ถูกยื่นฟ้องแล้ว และอีกหลายคนที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันนำยาบ้าจำนวน 1.2 ล้านเม็ดจาก สปป.ลาว ซุกซ่อนในช่องลับใต้หลังคารถยนต์ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.หนองคาย เข้ามาในไทย   ตำรวจสามารถจับกุมเครือข่ายจำเลย พร้อมยึดยาของกลางได้  กระทั่งขยายผลการจับกุมพวกจำเลยอีกส่วนที่อัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีไว้แล้ว ก่อนจะจับกุมจำเลยได้เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2560 เหตุเกิดที่ สปป.ลาว, ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.หนองคาย, ด่านตรวจยาเสพติดสีคิ้ว จ.นครราชสีมา, ด่านตรวจยาเสพติดบ้านพละ จ.ชุมพร และลานจอดรถโรงแรมคริสตัน จ.สงขลา ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยซึ่งให้การปฏิเสธในชั้นศาลแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความตามลำดับจากการปฏิบัติหน้าที่ ไม่รู้จักและไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความตามจริง แต่คดีต้องพิสูจน์จนปราศจากข้อสงสัย โดย   นายทรรศพล พลธี, นายไพฑูรย์ ทองเสม, น.ส.เกศญาณัฐฐ์ ธงวาด และนายนิอุสมัน ปะจู  จำเลยที่ 1-4 ในคดีหมายเลขดำที่ อย.5837/2559 ของศาลนี้ ได้เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ในการขนยาเสพติด โดยใช้รถตู้ที่นายทรรศพลเป็นผู้ขับ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สะกดรอยตามและตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ จากการสอบสวนนายทรรศพลให้การว่าจำเลยเป็นพี่ใหญ่ในการสั่งการขนยาเสพติด พร้อมชี้ภาพยืนยัน มีนายไพฑูรย์ขับรถตรวจเส้นทาง การให้การของนายทรรศพลไม่ใช่เป็นการซัดทอดให้พ้นผิด และให้การโดยละเอียดยากแก่การปั้นแต่ง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และไลน์ของจำเลย  พบว่ามีการติดต่อกับพวกเรื่องการขนยาเสพติดและการโอนเงินเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ติดต่อกับขบวนการค้ายาเสพติดหลายกลุ่ม ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พยานหลักฐานมีน้ำหนักมั่นคงว่าจำเลยกระทำผิดจริง ส่วนที่จำเลยปฏิเสธว่ามีเบอร์โทรศัพท์ของลาวเบอร์เดียว ไม่ได้มีโทรศัพท์ 5 เครื่องที่เป็นของกลางนั้น จำเลยกลับยอมรับว่าเบอร์อื่นที่ใช้ในไลน์เป็นของจริง ไม่ใช่ข้อพิรุธของโจทก์ และที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่ให้ลงนามในเอกสารแล้วจะได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นการอ้างลอยๆ ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่สถานทูตอยู่ด้วยก็ไม่ได้ทักท้วงใดๆ การให้การในชั้นสอบสวนจึงเป็นการให้การโดยสมัครใจ  เป็นการให้การหลังถูกจับกุม ไม่มีเวลาปรุงแต่งเรื่อง จึงเชื่อว่าเป็นการให้การตามจริง  อีกทั้งมีผู้ร่วมกระทำความผิดเป็นคนไทย จำเลยจึงต้องรับโทษในไทย

พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำหน่ายยาเสพติด และนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทสูงสุดฐานนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต

matemnews.com  20 มีนาคม 2561