นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน รัฐบาลพรรคเพื่อไทย แถลงแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2561 ว่า ตามที่นายชวน หลีกภัย อดีต นายกรัฐมนตรี และ ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวชื่นชม คสช. ที่พัฒนาภาคใต้พร้อมทั้งกล่าวตำหนิรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่พัฒนาภาคใต้ว่า อยากให้นายชวน หลีกภัยที่ตนมีความเคารพส่วนตัว ได้กลับไปมองย้อนอดีตว่าตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทุกครั้งมีการพัฒนาภาคใต้ขนาดไหน เพราะตนจำได้ดีว่าสมัยที่ตนเป็นเด็กภาคใต้ก็ถนนลาดยางสองเลนแล้ว ในขณะที่ถนนในภาคอีสานยังเป็นถนนลูกรัง แต่เวลาผ่านไป ภาคใต้ก็ยังมีแค่ถนนลาดยางสองเลน ในขณะที่ ภาคอีสาน และ ภาคเหนือ พัฒนามีถนนลาดยาง 8 เลน บ้าง 10 เลนบ้าง ซึ่งตนได้เคยสอบถาม ส.ส. หลายท่านว่าเพราะเหตุใดภาคใต้จึงไม่พัฒนา คำตอบที่ตนได้รับคือ ส.ส. ในภาคใต้ ที่ส่วนใหญ่ไม่มีอาชีพที่ทำรายได้มากนัก ได้ขายงบประมาณพัฒนาท้องถิ่นให้กับ ส.ส. ภาคเหนือ และ ภาคอีสาน ที่มีฐานะค่อนข้างดี ทำให้การพัฒนาภาคเหนือ และอีสาน มีมากกว่าภาคใต้มาก ไม่ทราบเรื่องนี้เท็จจริงเป็นอย่างไร อยากให้ นายชวนช่วยตอบข้อสงสัยนี้ เพราะตนจำได้ดีสมัยนายชวน เป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศถนนลาดยาง 2 เลนทั่วประเทศ แต่เหตุใดภาคใต้จึงไม่พัฒนาเพิ่มขึ้นเลยหลังจากนั้น และประชาชนส่วนใหญ่รวมถึงคนภาคใต้เองอาจจะไม่ทราบว่า ภาคใต้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าภาคอื่นมาโดยตลอด การพัฒนากระจุกอยู่ในกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้น เช่น ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ สงขลา (หาดใหญ่) เป็นต้น จังหวัดอื่นๆกลับพัฒนาน้อยมาก เมื่อเทียบกับจังหวัดในภาคเหนือ และอีสาน นอกจากนี้ หากย้อนไปดูการใช้งบประมาณไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาท สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ จะเห็นว่ามีการใช้งบเป็นเบี้ยหัวแตก มีการพัฒนาภาคใต้แค่ไหน งบส่วนใหญ่กระจายให้กับกระทรวงศึกษา และ กระทรวงสาธารณสุขที่พรรค ปชป ดูแลอยู่ ซึ่งทำไมไม่นำไปพัฒนาภาคใต้ให้เจริญกว่านี้ ในขณะที่ถ้ามองย้อนหลัง รัฐบาลทักษิณพยายามผลักดัน การพัฒนาเซาท์เทิร์นซีบอร์ด และ โครงการแลนด์บริดจ์ แต่มาโดนปฏิวัติเสียก่อน ซึ่งหากทำสำเร็จภาคใต้คงเจริญมากกว่านี้มาก และ รัฐบาลยิ่งลักษ์ได้พัฒนาถนนในจังหวัดภูเก็ตจนชาวภูเก็ตยังทำป้ายขอบคุณ ดังนั้น จึงอยากให้ ท่านชวนได้หันกลับมาดูวิธีคิด และ วิธีบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยที่ได้เป็นรัฐบาลให้ดีก่อนที่จะไปต่อว่ารัฐบาลอื่น และ น่าจะนำแนวคิดการพัฒนาภาคใต้ที่รัฐบาลทักษิณได้คิดไว้แล้วนำไปใช้ เพราะประชาชนภาคใต้จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่ต้องลำบากเหมือนในปัจจุบันที่ราคายางพาราตกต่ำกว่าสมัยรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาก และขอย้ำว่าปัจจุบันโลกแข่งขันกันมาก ดังนั้นประเทศนี้ต้องการผู้นำที่มีความเฉลียวฉลาดที่จะนำพาประเทศแข่งขันเพื่อให้ก้าวหน้าต่อไปได้
วันเดียวกัน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงแก่ผู้สื่อข่าว ถึงกรณีนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ข่าวขอบคุณรัฐบาลที่จัดงบประมาณซ่อมแซมถนนจากหัวหินไปสุดชายแดนภาคใต้ตามที่ได้ร้องขอจากรัฐบาลนี้ หลังจากที่ถูกนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลั่นแกล้งไม่จัดงบประมาณให้ ว่า การพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ใส่ร้ายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง เป็นการทำงานการเมืองไม่สร้างสรรค์ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ท่านอดีตนายกฯ ทั้งสองที่ถูกพาดพิง คงไม่มีโอกาสได้ชี้แจงข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองตามความถนัดของผู้ที่อาศัยฝีปากมากกว่าฝีมือ
ทั้งนี้ ขออนุญาตทำความเข้าใจกับพี่น้องชาวใต้ และประชาชนทั่วประเทศ ให้เข้าใจข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาประเทศ โดยการเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล มีหน้าที่ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทั้งประเทศ ดังนั้นโครงการสำคัญที่จะช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาประชาชน จึงต้องดำเนินการอย่างทั่วถึงและเสมอภาค เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการ SML เป็นต้น หรือการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรซึ่งมีผลผลิตหลากหลายในแต่ละภาค การดูแลราคายางพาราซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจของพี่น้องเกษตรกรในภาคใต้ได้ดีกว่านายกฯที่มาจากคนใต้ คงเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงว่า คนเป็นนายกฯต้องรักประชาชนอย่างเสมอภาค
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภาคใด ก็ตาม มีหลายปัจจัยที่จะส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณ เช่น จำนวนประชากร รายได้ประชากร ลักษณะภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ซึ่งเริ่มจากแผนพัฒนาในระดับต่างๆ จนถึงระดับชาติ โดยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนผ่านระบบราชการมาตามลำดับจนถึง ครม. และสภาผู้แทนราษฎร
“ผมขอยืนยันว่ารัฐบาลสมัยนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ความสำคัญยิ่งกับการจัดสรรงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดภาคใต้ เพราะเป็นจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวในระดับสูง ซึ่งรัฐบาลจำเป็นจะต้องดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้งในเรื่องสนามบิน ถนนหนทาง ให้ทันกับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ขอฝากข้อสังเกตให้ประชาขนภาคใต้ได้ตรวจสอบอดีต ส.ส.ของท่านให้ดีว่า เหตุใดไม่มีผลงานในการติดตามความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องถนนหนทางเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับ ส.ส.ภาคอื่น ๆ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะมีข่าวว่ามีการโยกย้ายงบประมาณข้ามภาคหรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจรับเหมาสร้างถนน และประโยชน์ด้านอื่นๆหรือไม่ คิดว่าพี่น้องชาวใต้ไม่ลืมภาพประวัติศาสตร์เมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติสึนามิ ทำความเสียหายกับทรัพย์สินและชีวิตประชาชนมหาศาล แต่ในท่ามกลางกำลังเกิดมหาภัยและหลังภัยสงบนายทักษิณ และ ครม.ได้ทุ่มเทให้ความช่วยเหลือประชาชนชาวใต้อย่างสุดชีวิตของคนทำงานการเมืองเพื่อประชาชน และงานการช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ จนได้รับการชื่นชมจากชาวใต้อย่างท่วมท้น
ทั้งนี้ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่เอาใจช่วย ตลอดจนชาวโลกที่ชื่นชมผลงานของอดีตนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ล้วนเห็นว่าท่านเป็นคนของประชาชนทุกภาค ความจริงแล้ว หากจะวิเคราะห์กันให้ถ่องแท้ถึงวัตถุประสงค์ของการให้ข่าวของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นธรรมชาติของพรรคการเมืองนี้ที่ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง แต่อยากเป็นรัฐบาล ซึ่งก็จำเป็นจะต้องพึ่งทหารหรือการเมืองนอกระบบ
“การชื่นชมหัวหน้า คสช.ดังกล่าว จึงเป็นที่เข้าใจได้ เมื่อหัวหน้าพรรคออกมายืนยันไม่เอาเผด็จการ ไม่เอานายกฯคนนอก ผู้ใหญ่ในพรรคก็ต้องแตะทหารไว้บ้าง เดี๋ยวจะไม่ได้ร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นการดีเพราะประชาชนจะแยกแยะได้ง่ายขึ้นระหว่างฝ่ายที่เอาเผด็จการกับไม่เอาเผด็จการ ประชาชนจะเลือกใคร” นายอนุสรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 ต.ค.48 นายทักษิณ กล่าวระหว่างเป็นประธานมอบหนังสือแสดงสิทธิสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับประชาชนตามโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ ที่หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ว่า จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ 900 กว่าตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าสิงคโปร์ 2 เท่า แต่พัฒนายังไม่ทั่วถึง จากการที่รัฐมนตรีไปลงพื้นที่ในแต่ละอำเภอคงจะได้ข้อมูลมาช่วยกันพัฒนาจังหวัดนครสวรรค์ให้ดีขึ้น ต้องถือว่า จ.นครสวรรค์ได้มอบความไว้วางใจให้กับรัฐบาล โดยเลือก ส.ส.รัฐบาลทั้งจังหวัด แน่นอน อันนี้ตรงไปตรงมา ต้องได้สิทธิดูแลเป็นพิเศษ
“ผมตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่เราต้องดูแลคนทั้งประเทศด้วย แต่เวลาจำกัด ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่เราได้รับความไว้วางใจมากเป็นพิเศษ จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยต้องเอาไว้ทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป คิวต้องเรียงอย่างนี้ ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เปิดเผย สื่อมวลชนอยู่ต้องเปิดเผย ไม่มีความลับสำหรับผม วันนี้คิดกับประชาชนอย่างไร ก็อยากเห็นคนทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลือกหรือไม่เลือกผม ก็อยากให้ทุกคนหายจน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดก็ต้องไล่ลำดับกันไป แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ”
คำกล่าวดังกล่าวของนายทักษิณ เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งซ่อมใน 3 จังหวัดที่พรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขันหลังผู้สมัคร 3 คนของพรรคได้รับใบเหลืองจาก กกต. แต่สามารถชนะการเลือกตั้งกลับเข้าสภามาได้เพียง 1 จังหวัด คือที่จังหวัดสิงห์บุรี ที่ชนะผู้สมัครจากพรรคชาติไทย กลับเข้ามาแบบฉิวเฉียด 700 กว่าคะแนน จากที่เคยชนะกว่า 2 หมื่นคะแนน ส่วนจังหวัดพิจิตรพ่ายแพ้ผู้สมัครจากพรรคมหาชนกว่า 17,000 คะแนน และแพ้พรรคชาติไทยในจังหวัดอุทัยธานี ที่นายทักษิณ ประกาศว่าเป็นบ้านเกิดของพ่อตาที่จะต้องเอาชนะให้ได้ เกือบ 1 หมื่นคะแนน
matemnews.com
14 เมษายน 2561