พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก และ ฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แถลงแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2561 ประเด็น
“แนวทางการจัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนมณฑลทหารบก หรือ ชป.กร.มทบ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมก่อนลงพื้นที่พบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ และนำข้อมูลการทำงานของรัฐบาลไปถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับทราบ ไม่ได้ทำเฉพาะโครงการไทยนิยม ยั่งยืน แต่จะทำในทุกโครงการที่ทำให้เกิดความรักความสามัคคี ความเข้าใจของคนในชาติ การประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล รวมถึงงานของกองทัพเช่นการเกณฑ์ทหาร เป็นต้น เบื้องต้นเป็นการจัดตั้งทีม และฝึกฝนกำลังพล ส่วนรายละเอียดและแนวทางการทำงาน ได้ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร บูรณาการร่วมกับ 35 มทบ.ทั่วประเทศอีกครั้งว่าพื้นที่ใดจะทำอย่างไร
ขณะนี้ แบ่งเป็น 2 ชุด คือ
ชุดขุนศึกให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ
ชุดขุนภักดี โดยนำกำลังพลดุริยางค์ใน มทบ. มาฝึกและเติมทักษะการพูด เพื่อไปทำงานแบ่งเบาภาระของกองพันปฏิบัติการจิตวิทยา (พัน .ปจว.) ของกองทัพภาค ซึ่งในแต่ละกองทัพภาคจะมี 1 กองร้อย ถือว่าตอนนี้งานล้นมือ
เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ผมคิดไว้ อยากให้ทำเป็นช่วงระยะเวลา 5 ปี -10 ปี ไม่ใช่ทำเฉพาะช่วงที่มีโครงการไทยนิยมยั่งยืนอย่างเดียว ตอนนี้เป็นช่วงเริ่ม เป็นการสร้างคน ส่งคนไปฝึกพูด ต่อไปทหารจะต้องเก่งในเรื่องพูดเพื่อสื่อสาร ไม่ใช่แค่งานกิจการพลเรือน ทางกอ.รมน.ก็จะมาคิดอีกทีว่าจะบูรณาการ และใช้งบประมาณอย่างไร โดยฝ่ายอำนวยการก็จะไปคิดรายละเอียดอีกที ซึ่งรายละเอียดการทำงานแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน ส่วนเนื้อหาก็แล้วแต่ละสถานการณ์ จะประชาสัมพันธ์เรื่องเกณฑ์ทหาร งานของรัฐบาลก็ดูไปตามพื้นที่ ถือเป็นเครื่องมือของกอ.รมน.และรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไป อย่ามองเป็นเรื่องการเมืองไปหมด สิ่งที่ให้ระมัดระวังเวลาไปลงพื้นที่พบชาวบ้าน คืออย่าตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองเข้ามาแบ็คอัพสนับสนุนชาวบ้าน อาจจะมีเจตนาดี แต่เราก็อย่าเผลอไปเดินตามแนว จะกลายเป็นเครื่องมือหาเสียง เพราะในพื้นที่ก็มีความคุ้นเคยกันทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักการเมืองท้องถิ่น”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้กลไกนี้ถือว่ารัฐบาลได้เปรียบหรือไม่ในการสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้นายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย ตอบว่า
“ไม่เกี่ยวกับการเมือง ถ้าตอนนี้ไม่ทำอะไรเลย บ้านเมืองก็จะทรุดลงไป เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะเป็นภารกิจสนับสนุนงานของประเทศ เป็นเรื่องที่กองทัพต้องทำอยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การตั้งพรรคการเมืองโดยโยงกับคนในคสช.จะย้อนกลับมาทำให้ทหารอยู่ลำบากหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย ตอบว่า
“เท่าที่เห็นเป็นทหารเกษียณ ไม่มีใครสวมเครื่องแบบแล้วไปเล่นการเมือง บทบาทของผมก็เป็นไปในฐานะทหาร ไม่ไปยุ่งกับการเมือง เดินไปตามกรอบหน้าที่ รัฐบาลก็สั่งการในงาน กองทัพก็ไปสนับสนุน ส่วนคนนอกหรือคนที่อยากช่วยนายกรัฐมนตรีก็ว่ากันไป”
ผู้สื่อขช่าวถามแย้งว่า ก็จะถูกวิจารณ์ว่ารัฐประหารมาเพื่อต่อยอดอำนาจ พล.อ.เฉลิมชัย ตอบว่า
“ก็แล้วแต่คนคิด เมื่อนายกรัฐมนตรีไปพูดนโยบายท่านก็ต้องทำ ขณะนี้จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ก็เหมือนรัฐบาลรักษาการ การลงพื้นที่อาจถูกมองบ้าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อการกินดีอยู่ดีของประชาชน ถ้าหยุดนิ่งไม่ทำเลย รอให้มีเลือกตั้ง ประเทศก็จมลงไปด้วย”
ถามย้ำ ตั้งพรรคการเมืองจะซ้ำรอยเหมือนสมัยพล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยตอบว่า
“ก็เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต ยืนยันเราไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วย และทำงานตามกรอบหน้าที่ หากผมเกษียณแล้วก็อาจจะไปบวช”
matemnews.com
14 เมษายน 2561