นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้โอกาสนักข่าวสัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 พฤษถาคม 2561 โดยนักข่าวเริ่มด้วยประเด็น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ไปพบนายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ เพื่อทาบทามให้มาร่วมงานกับรัฐบาล ว่า
“ต้องไปถามนายสนธิรัตน์ และนายอุตตม เอง ซึ่งเรื่องการเมืองต้องพูดน้อยๆ บ้านเมืองถึงจะเจริญ … ตัวหลักในการขับเคลื่อนการเมือง คือ พรรคการเมือง ถ้าพรรคการเมืองมีคุณภาพ เอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดเรื่องนโยบายดีๆ ไปดึงคนเก่ง คนดีมีความสามารถมาร่วมทำงาน ไม่ว่าจะพรรคใด เมื่อได้รับเลือกตั้งไปแล้ว ก็สามารถเอานโยบายเหล่านั้นมาใช้ในการพัฒนาประเทศได้ แต่ถ้ามีแต่พรรคการเมืองที่คิดแต่เรื่องการตีอีกฝ่ายหนึ่ง ด่าคนโน้น ด่าคนนี้ แบบนี้ไม่ใช่การเมือง ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น คนก็จะเบื่อหน่ายการเมือง อย่างที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้ว่า เห็นหรือไม่ ใครไปดูดใคร ไม่มีเลย แต่ทำไมคนอยากจะย้ายบ้าน เพราะว่าบ้านอยู่แล้วไม่มีความสุขหรือไม่ มันจึงต้องพัฒนาบ้านให้เป็นบ้านที่คนไทย ฝากความหวังไว้ได้ ผมจะแนะนำว่าพรรคการเมืองในขณะนี้ทีมีอยู่ กว่าจะถึงเลือกตั้ง พยายามคัดสรรคนดี ๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคิดนโยบายเตรียมเอาไว้ เมื่อเลือกตั้งแล้วถ้าใครได้เป็นรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาลอย่างไรก็แล้วแต่ จะได้ไปช่วยกันทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น นี่คือสิ่งที่ต้องสื่อความออกไป ไม่ใช่มาดูดนั่นดูดนี่ ไร้สาระ 10 ปีก็อยู่กันแค่นี้ แล้วคนที่บอกว่าดูดส้วม ผมรู้จักดี ต้องพัฒนามากกว่านี้”
นักข่าวถามว่า ด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ จึงจำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสานต่องานที่รัฐบาลทำไว้ นายสมคิด ตอบว่า
“ผมไม่ทราบ เพราะผมดูสถานการณ์ในขณะนี้และอนาคต ความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนประเทศ ความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งจำเป็น ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่าผลงานของรัฐบาลเป็นอย่างไรและก็ไปได้ดีเพียงพอ แต่ถ้าใครทำได้ดีกว่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะประชาชนมีสิทธิเลือก แต่ที่จะบอกว่าใครจะมีพรรคหนุนคนนั้นคนนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม ที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่เคยตอบโต้ เพราะทุกคนรู้จักกันดี เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น วันหนึ่งข้างหน้าต้องทำงานร่วมกัน ดังนั้นเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำสิ่งดี ๆ ดีกว่า”
ถึงตอนนี้นักข่าวจึงถามว่า นักการเมืองในขณะนี้ยังไม่เสียสละ เพื่อประเทศชาติเพียงพอใช่หรือไม่ นายสมคิด ตอบว่า ตน
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เมืองไทยต้องค่อยๆเปลี่ยน ต้องมีคนใหม่ๆเข้ามาทำงานร่วมกับคนเก่า สิ่งสำคัญคือต้อง มีไอเดียเป็นตัวนำ ส่วนใครจะเป็นผู้นำเป็นเรื่องที่จะตามมาทีหลัง ถ้าประเทศไทยมีคนอายุสี่สิบกว่าเป็นรัฐมนตรี ผมว่าจะมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นเยอะ แล้วให้คนที่มีอาวุโส คอยเป็นพี่เลี้ยง ผมมองว่าเป็นสิ่งทีดี อย่างประเทศสิงคโปร์ ผมเห็นแล้วก็ทึ่ง กับนักการเมืองผมไม่เคยเจอพวกเขาเลย ผมไม่มีเวลาจริง ๆ พอไปต่างประเทศ เมื่อเห็นข่าวก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่เป็นอะไร เมื่อมาอยู่การเมือง หน้าที่คือทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าเท่านั้นเอง และไม่เคยพูดว่า ผมจะไปตั้งพรรคการเมือง ผมบอกแค่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ทำงานต่อ ถ้าท่านต้องการทำงาน ส่วนพรรคไหนจะสนับสนุนหรือทำอะไรก็แล้วแต่เขา ทุกกลุ่มเพื่อนกันทั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็รู้จักกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นคนดี พรรคเพื่อไทยก็มีคนดีเยอะ ต้องคิดอนาคตข้างหน้าว่า ถ้าต้องทำงานร่วมกัน แล้วจะทำอย่างไร เราต้องก้าวข้าม ความขัดแย้งทั้งหลาย เอาบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง”
matemnews.com
3 พฤษภาคม 2561