Home ข่าวทั่วไปรอบวัน พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ชี้นำศาลฎีกาคดีรับจำนำข้าว

พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ชี้นำศาลฎีกาคดีรับจำนำข้าว

693
0
SHARE

ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แถลงด้วยวาจาปิดคีรับจำนำข้าว ต่อหน้าบัลลังค์ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง  เมื่อตอนเช้า 1 ส.ค.2560  โดยในตอนท้ายปูกล่าวว่า

กราบเรียน องค์คณะผู้พิพากษาที่เคารพ

ดิฉันรู้ดีว่า ดิฉันเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง ดิฉันจึงหวังพึ่งศาลสถิตยุติธรรม ได้โปรดพิจารณาบนพื้นฐานข้อเท็จจริง และสภาวะแวดล้อม ในขณะที่ดิฉันปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การตั้งสมมติฐาน ที่ใช้สภาวะแวดล้อมของปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้ว มาตัดสินการดำเนินการ ของดิฉันในอดีต

ดิฉันใคร่ขอเรียนโดยสรุป ดังนี้

1.นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายสาธารณะ ที่มุ่งช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่ “พาณิชย์นโยบาย” ที่คิดกำไร ขาดทุนกับชาวนาผู้ยากไร้

  1. ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีทั้งฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติ ต่างฝ่ายต่างต้องรับผิดชอบในส่วนงานของตนเอง จึงควรพิจารณาบทบาทของดิฉัน ในฐานะผู้กำกับนโยบายไม่ใช่ในฐานะผู้ปฏิบัติ หากมีผู้ปฏิบัติกระทำผิดในขั้นตอนใด ย่อมเป็นความรับผิดชอบของบุคคลนั้นๆ โดยที่ไม่เคยมี กรณีที่มากล่าวหาให้บุคคลระดับนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมด้วยกับฝ่ายปฏิบัติ ดังเช่นที่โจทก์และคณะกรรมการ ป.ป.ช. กระทำต่อดิฉันในครั้งนี้ อย่างที่ไม่มีอดีตนายกรัฐมนตรีคนใด ๆ ถูกกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้มาก่อน
  2. ดิฉันขอให้ศาลวินิจฉัย เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของดิฉัน ตามรายงาน ป.ป.ช. ที่สรุปชี้มูลว่าดิฉันไม่ได้ทุจริตหรือสมยอมให้ทุจริตและไม่รับฟังพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่ได้ผ่านการไต่สวน หรือกล่าวหาดิฉันในชั้น ป.ป.ช. แต่เป็นการที่โจทก์เพิ่มเติมหลักฐานใหม่ เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจผิด ว่าดิฉันเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือสมยอมให้ทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจี รวมทั้งกระบวนการสร้างความเสียหาย ให้ดิฉันต้องรับผิดทางแพ่งจำนวนเงิน 35,000 ล้านบาท เป็นไปตามข้อสั่งการของหัวหน้า คสช. ในฐานะประธาน นบข. ที่สั่งการในที่ประชุมว่า “ไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม”

ดิฉันขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของดิฉัน และขอได้โปรดพิจารณาคดีนี้ โดยคำนึงถึงเจตนาที่สุจริต ในการดำเนินนโยบายสาธารณะ ที่เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะทำงานรับใช้ประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน ให้มีความเป็นอยู่ที่ ดีขึ้น

ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ตามขอบเขตแห่งอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายไม่เคยปล่อยปละละเลยสิ่งใดให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ดิฉันได้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และไม่เคยสมยอมให้บุคคลใดทุจริต ไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ หรือผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

กราบเรียนองค์คณะผู้พิพากษาที่เคารพ

ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา

แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการที่จะต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือน และกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ดิฉันก็จะอดทนมุ่งมั่นต่อไป เพื่อหวังว่ารัฐบาลต่อไปในอนาคต จะได้สามารถนำนโยบายสาธารณะมาสู่ประชาชนพี่น้องเราจะได้ปลดหนี้สิน จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาบ้างค่ะ

สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพ ยังไม่ได้ตัดสิน

ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาล ได้โปรดพิจารณา พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

 

ต่อมาในตอนบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นนี้ในการแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า

“อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์กันมากนัก เป็นเรื่องที่ศาลจะรับไว้พิจารณาต่อไป ส่วนที่ถามว่าหลังศาลมีคำตัดสินในวันที่ 25 ส.ค. สถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไรนั้น เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม แต่ขึ้นอยู่กับกลุ่มประชาชน กลุ่มนักการเมือง ส่วนตัวคิดแต่เพียงว่าเราต้องเดินหน้าประเทศไปด้วยกระบวนการยุติธรรม และให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงาน  ผมไม่เคยต้องไปสั่งอะไรกับกระบวนการยุติธรรม   เพียงแต่ให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น โดยไม่ไปก้าวล่วง   ถือเป็นหลักการของรัฐบาลที่ต้องเป็นเช่นนี้ ผมไม่เคยต้องไปสั่ง และมันก็สั่งไม่ได้อยู่แล้ว  ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน อยู่ที่ประชาชนว่าจะกลับไปสู่หนทางเดิมหรือไม่ ถ้าไม่อยากให้กลับไปอยู่ที่เดิมซึ่งมีปัญหามาก ก็ต้องดูว่าประเด็นปัญหาประเทศนั้นอยู่ที่ไหน และอยู่ที่ใคร และวันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ รัฐบาลกำลังเดินหน้าประเทศ ส่วนคดีความต่างๆ ก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม  เขาก็ทำงานอย่างเป็นอิสระอยู่แล้ว อย่าเอามาพันกัน  ผมไปชี้นำตรงไหน ผมยังไม่ได้ชี้นำเลย ผมเพียงแต่ชี้แจงว่าผลการตรวจสอบมันเป็นอย่างไร เป็นขั้นตอนของพยานฝ่ายโจทก์อยู่แล้ว เพราะว่าผมก็ต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่จะนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็มีการตรวจสอบแค่นั้นเอง เป็นการตรวจสอบตามข้อเท็จจริงว่าข้าวเป็นอย่างไร ข้าวเสียหรือไม่ มันจำเป็นต้องตรวจสอบ ทุกอย่างมีการตรวจสอบไปแล้ว มีการลงนามโดยเจ้าของโกดังทุกโกดัง  การตรวจสอบมากกว่าการไปยืนตรวจ เอาดีเอ็นเอไปตรวจว่าเป็นข้าวไทย หรือต่างประเทศ   หรือข้าวปลอมปน มีทั้งหมด เรื่องนี้ผมชี้แจงมาหลายรอบแล้ว”

 

Matemnews.com  1 สิงหาคม 2560