เฟชบุ้ค นิติ รักความถูกต้อง คนตรงรักความถูกต้อง
องค์กรลิ่วล้อรับสนอง
ยัด“ไม่กลาง-เสียดสี”
“ผู้มีอำนาจไม่ถูกใจ” สั่งองค์กรลิ่วล้อเชือดวอยซ์ทีวี บีบถอดพิธีกร “ศิโรตม์-วิโรจน์” พ้นรายการเวคอัพฯ ผอ.สถานีแจงไม่ปรับถึงจุดอันตราย ไม่ผิด ทำหน้าที่สื่อประชาธิปไตย ส่วน “ศิโรตน์” เผยถูกยัดหา “ไม่เป็นกลาง-เสียดสี”คณะอำนาจ
เมื่อ 17 ก.ย. 2561 เฟซบุ๊ค Tawan Ten เชื่อกันว่าเป็นของนายประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ได้ชี้แจงการเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินรายการ คือ นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ และนายวิโรจน์ อาลี โดยระบุว่า จะหยุดพักดำเนินรายการ wake up news ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย.-17 ต.ค. นี้ขณะเดียวกันคอลัมน์ เวคอัพ การ์ตูน. โดย “เซีย” จะต้องหยุดพักตามไปด้วย
“ผู้มีอำนาจ”ในการชี้ชะตาเรา ไม่พอใจอย่างแรงกับการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ของผู้ดำเนินรายการทั้งสองท่าน รวมทั้งการ์ตูนโดยคุณเซีย หากเราไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรเลย สถานการณ์ของ “วอยซ์ทีวี”จะอยู่ในจุดที่อันตราย” เฟซบุ๊คดังกล่าวระบุ เหตุผล
รวมทั้ง ระบุว่า นี่เป็นอีกครั้งที่เราต้องฝืนใจเจ็บปวด เพื่อประคองให้องค์กรเดินหน้าได้ต่อไป ไม่ต่างอะไรกับที่เราเคยจำเป็นต้องพักการทำหน้าที่ของ “คุณปลื้ม”ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล, คุญใบตองแห้ง อธึกกิตต์ แสวงสุข, คุณคำ ผกา, คุณพัชยา มหัทธโนธรรม ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้
“อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่วอยซ์ทีวีทำ เป็นเสรีภาพของการทำหน้าที่สื่อมวลชนในระบอบประชาธิปไตย และไม่ผิดกฎหมายข้อไหน แต่ที่ผิดเพียงเพราะ“ไม่ถูกใจ”ผู้มีอำนาจเท่านั้น ถึงที่สุด เราจึงยังสงวนสิทธิ์ที่จะไปสู้ในกระบวนการยุติธรรม”
ขณะเดียวกัน นายศิโรตน์ ได้โพสต์ข้อความขนาดยาว ถึงเหตุการณ์ถูกบีบให้หยุดดำเนินรายการดังกล่าวว่า ไม่กี่วันนี้ทุกท่านจะไม่เห็นตนบนหน้าจอทีวีอีกต่อไป ระยะเวลานานเท่าไรไม่ทราบ และจะพบกันในเงื่อนไขไหนก็ไม่รู้ เพราะเหตุการณ์นี้เกิดจากการกดดันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอ้างว่าคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจต้องการ
ด้วยต้นเหตุที่เป็นแบบนี้ การหายไปไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผมทำอะไรผิดกฎหมายทั้งกฎหมายปกติและกฎหมายของ คสช.ทุกกรณี สรุปสั้นๆ องค์กรซึ่งใช้อำนาจคุมสื่อเรียกช่องที่ผมเกี่ยวข้องไปพูดคุยถึงรายการวันซึ่งผมไม่ใช่ผู้ร่วมจัด เหตุผลขององค์กรคือรายการวันนั้นมีภาพคุณทักษิณและผู้ชุมนุมเลือกตั้งมากเกินไป
นายศิโรตน์ ระบุว่า การมีภาพดังกล่าวในวันที่มีข่าวทั้งสองจะถูกหรือผิดคงแล้วแต่การตีความ ตามกฎหมายนั้นไม่ผิดแน่ๆ แต่ตามอำนาจรัฐตอนนี้อาจถือว่าผิดก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องคือ ตนไม่เกี่ยวกับรายการวันนั้นสิ้นเชิง
“ผมทราบว่าตัวเองทำงานที่ต้องแสดงความเห็นที่ผู้มีอำนาจไม่พอใจ แต่การกดดันให้ผมหายไปจากหน้าจอโดยกล่าวหาว่าผม “ไม่เป็นกลาง” และ “เสียดสี” เป็นความเท็จซึ่งดูหมิ่นจรรยาบรรณในวิชาชีพสื่อและปัญญาชนของผมอย่างน่าละอาย”
รวมทั้งระบุว่า ความเห็นของผมต่อรัฐบาลนี้ขีดเส้นที่การวิจารณ์ผลงานอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่โจมตีเรื่องเผด็จการ ไม่พูดเรื่องท่านมาจากรัฐประหาร ไม่แตะเรื่องบุคลิกภาพ และไม่เคยฉวยโอกาสใช้เรื่องไม่มีมูลเพื่อใส่ร้ายรัฐบาล
“สำหรับรัฐบาลนี้ ผมเห็นว่าผลงานท่านมีปัญหาเหมือนรัฐบาลอื่นๆ ผมวิจารณ์รัฐบาลท่านเหมือนวิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์เรื่องผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม และรัฐบาลอภิสิทธิ์สลายการชุมนุมสมัยพี่ผมเป็นรัฐมนตรี ผมมั่นใจว่าผมทำหน้าที่ “เป็นกลาง” มากที่สุดเท่าที่คนซึ่งทำหน้าที่แบบผมจะทำได้ นั่นคือพูดเรื่องที่รัฐบาลผิด, ชมเรื่องที่รัฐบาลทำดี และไม่สร้างวาทกรรมประเภทรัฐบาลเผด็จการทำทุกอย่างผิดทุกกรณี”
ผมชี้แจงเรื่องทั้งหมดเพื่อไม่ให้เกิดข่าวว่า ผมหายไปจากหน้าจอเพราะ “ต่อต้านรัฐบาล” หรือ “ถูกแบน” เพราะข้อเท็จจริงคือ ผู้สั่งไม่ได้บอกว่าผมโจมตีใคร, ผิดอะไร และผมไม่มีพฤติกรรมแบบนั้นในความเป็นจริง ความพยายามกำจัดผมมาจากเรื่องที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การหายไปจากหน้าจอไม่ใช่เพราะผมทำผิด แต่เพราะการข่มขู่ของผู้มีอิทธิพลผ่านบุคคลบางตำแหน่งโดยใช้ความเสียหายของหลายคนเป็นเครื่องมือ
สำหรับทุกท่านที่มีไมตรีกับผมในวิชาชีพสื่อ, อาจารย์มหาวิทยาลัย, นักการเมือง, อดีตนายก, คนทำงานศิลปะ, องค์กรพุทธ, สถาบันการเงิน, พี่น้องมุสลิม, NGOs, องค์กรระหว่างประเทศ, คนทำงานสิทธิสตรี ฯลฯ การหายไปของผมคือหลักฐานว่าประเทศมีการใช้อิทธิพลกำจัดคนเห็นต่าง พฤติกรรมนี้กระทำโดยอำเภอใจ และกระบวนการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างสิ้นเชิง
matemnews.com
17 กันยายน 2561