Home ข่าวทั่วไปรอบวัน ประเทศไทยเปลี่ยนจากเสือตัวที่ห้า กลายเป็นเห็บสยาม – พิชัย นริพทะพันธุ์

ประเทศไทยเปลี่ยนจากเสือตัวที่ห้า กลายเป็นเห็บสยาม – พิชัย นริพทะพันธุ์

1231
0
SHARE

 

 

“พิชัย” ชี้ 12 ปี ไทยเสียหายอย่างมาก จากเสือตัวที่ 5 กลายเป็นเห็บสยาม เย้ย วิสัยทัศน์ผู้นำต่างกันลิบลับ ย้อน “บิ๊กตู่” รอยหยักบนสมองสำคัญกว่าจำนวนเส้นผม

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว. พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย  แถลงแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อตอนเช้าวันที่ 20 ก.ย.2561 ว่า

 

12 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความเสียหายอย่างมากโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจจากความไม่สงบทางการเมืองและการปฏิวัติ 2 หน  เศรษฐกิจของไทยใน 12 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ยได้เพียงปีละ 3% กว่าเท่านั้น  ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก และ 4 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ยได้เพียง 2% กว่าเท่านั้น เพิ่งจะมาเริ่มฟื้นในปีนี้  ถ้าหากไม่มีการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาควรจะต้องโตได้เฉลี่ยปีละ 5-6% ตามศักยภาพ และประชาชนจะต้องกินดีอยู่ดีกว่านี้มาก หากจำกันได้ 10 กว่าปีที่แล้วเรามีผู้นำที่เป็นที่เกรงขามของประชาคมโลก มีทฤษฎีเศรษฐกิจ ที่ถูกขนานนามว่า ทักษิโณมิกส์ เป็นแบบแผนพัฒนาประเทศของตัวเองที่ประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ อยากขอนำไปใช้บ้าง ประเทศไทยรุ่งเรืองถึงขนาดกำลังจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย แต่หลังการปฏิวัติและความผันผวนทางการเมืองเรื่อยมาทำให้ ประเทศไทยเปลี่ยนจากเสือตัวที่ห้า กลายเป็นเห็บสยามที่ต้องคอยกระโดดเกาะและดูดประเทศมหาอำนาจไปแล้ว ตามการวิเคราะห์ของอดีตปลัดกระทรวงการคลังที่ได้ถอดใจลาออกไป เราเคยมีผู้นำที่ทันสมัย ความคิดก้าวหน้า มองอนาคตประเทศไทยก้าวไกล ทุกเช้าวันเสาร์ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะต้องคอยรับชมหรือรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้นำในขณะนั้นว่าจะมีแนวคิดใหม่ๆอะไร ทิศทางประเทศจะไปทางไหน แนะนำอ่านหนังสืออะไรที่จะทำให้ก้าวทันโลก ในขณะที่ปัจจุบันทุกค่ำวันศุกร์กลายเป็นช่วงประหยัดไฟ เพราะคนไทยจะปิดโทรทัศน์ ไม่มีใครอยากฟังผู้นำเพราะไม่มีเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจ จนกระทั่งต้องนำดาราและนักร้องมาช่วยเรียกเรตติ้งเพิ่มคนดู และถึงขนาดต้องนำกลุ่มนักร้องต่างประเทศเข้ามาช่วย  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ผู้นำโบกแท่งไฟไปมา  และถ่ายรูปหมู่ด้วยท่าแปลกๆ  โดยในโลกปัจจุบันวิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นเครื่องตัดสินว่าประเทศจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร และความสามารถแข่งขันของประเทศต้องขึ้นกับความรู้ความสามารถของผู้นำเป็นหลัก ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นผมบนศีรษะ เพราะหากหันมาดู นายอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คนที่ถูกจัดให้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกก็มีเส้นผมไม่มากนัก หรือ นายเจฟ เบซอส อภิมหาเศรษฐีที่ชาญฉลาดและเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยมีทรัพย์สินรวมกันกว่า หนึ่งแสนหกหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ก่อตั้งบริษัทขายของออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อเมซอน  ก็ไม่มีเส้นผมเลย โดยหากผู้นำยังวัดคนจากปริมาณเส้นผมบนศีรษะมากกว่าจำนวนรอยหยักบนสมอง อนาคตของประเทศไทยก็คงจะพัฒนาไปได้ไม่มากนัก ดังนั้นอีกไม่นานนี้ ประชาชนไทยจะสามารถเลือกได้ว่าจะอยากได้ผู้นำเช่นไร ที่จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ ในภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว จนโลกต้องเผชิญกับ disruption ในด้านต่างๆ จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน โดยอยากให้พิจารณาจากแนวคิดและผลงานตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมาว่าจะสามารถนำพาประเทศไทยฝ่าฟันการเปลี่ยนแปลงของโลกและ disruption ด้านต่างๆ ในอนาคตได้หรือไม่  เพราะสุดท้ายแล้วคนไทยทุกคนจะต้องรับผลจากการตัดสินใจนี้ร่วมกัน

 

matemnews.com 

20 กันยายน 2561