Home ข่าวทั่วไปรอบวัน พล.อ.อภิรัชต์แถลงข่าวครั้งแรกนับแต่เป็น ผบ.ทบ.

พล.อ.อภิรัชต์แถลงข่าวครั้งแรกนับแต่เป็น ผบ.ทบ.

661
0
SHARE

 

 

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก  แถลงข่าวแก่สื่อมวลชน  ที่บก.ทบ.เมื่อตอนเช้าวันที่ 17 ต.ค.2561 เป็นการแถลงครั้งแรกนับแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 ต.ค.2561

 

เริ่มต้นด้วยการประกาศความจงรักภักดี  จุดยืนการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์  ความว่า

 

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์จอมทัพไทย   บางครั้งยังมีทหารบางคนยังลืม ผมจะเตือนสติเขาว่า  ผู้บังคับบัญชาสูงสุดคือ องค์พระมหากษัตริย์  เนื่องจากพระองค์ท่านทรงดำรงพระอิสริยยศและดำรงตำแหน่งเป็นจอมทัพไทย  เป็นสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด  ในส่วนของกองทัพบกถือเป็นข้ารองบาท   มีหน้าที่และหัวใจปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งและเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยกองทัพบกจะใช้ศักยภาพและขีดความสามารถทุกอย่างในการปกป้องสถาบัน  สำหรับการหมิ่นสถาบันและการก้าวล่วงที่เกิดขึ้นในหลายครั้งก็เกิดจากคนสติไม่สมประกอบ  เช่น  เมื่อที่ผ่านมาเร็วๆนี้มีการไปยื่นถวายฎีกา  เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ป่วยทางจิต และเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งรพ.ศรีธัญญาเรียบร้อยแล้ว  คนที่หมิ่นสถาบันส่วนใหญ่เป็นคนที่จิตไม่ปกติ ส่วนคนที่จิตปกติแต่มีความคิดแปลกๆ  แต่ก็ไม่ได้อยู่เมืองไทย มีการหนีไปอยู่ต่างประเทศ  เพราะอยู่เมืองไทยไม่ได้ ในเมื่อเราอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ทำไมไม่สำนึกถึงบุญคุณแผ่นดินเกิด ไม่มีใครเขาไม่รักแผ่นดินเกิด รัฐบาลผลัดเปลี่ยนไป  แต่องค์พระมหากษัตริย์ต้องอยู่คู่ฟ้าคู่แผ่นดินไทยไปตลอด นี่คือหน้าที่ของกองทัพบก และผมจะปกป้องสถาบันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี”

 

จากนั้นแถลงข่าวแนวทางในการทำงาน

 

“ถือเป็นโอกาสแรกของผมในฐานะที่รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก  ได้มีการเชิญผู้บังคับหน่วยมาประชุมระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไป เพื่อรับมอบนโยบาย  เรื่องนโยบายของกองทัพ คงไม่เน้นย้ำอะไรมากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นนโยบายที่สืบสานต่อจาก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับท่านในช่วงที่ผ่าน  ท่านได้สร้างความเข้มแข็ง แข็งแกร่งให้กับกองทัพ ถือเป็นนายทหารรบพิเศษที่เติบโตมาด้วยฝีมือแท้ๆ  พล.อ.เฉลิมชัย ได้วางรากฐานแนวทางที่แข็งแกร่งมั่นคงให้กับกองทัพได้เป็นอย่างดียิ่ง   ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดและเรียนรู้งาน หลายๆอย่างจากท่าน   จึงเป็นที่มาของการที่ท่านได้ตามแนวทาง Smart Man เมื่อมาถึงผม เป็น ผบ.ทบ.ก็มาเป็น smart Soldier และ Strong Army นั่นหมายความว่า 2 ปีข้างหน้า กองทัพบกจะมีความเข้มแข็ง แข็งแกร่งไปสู่รูปธรรมให้มากยิ่งขึ้น  สถานการณ์ในอนาคตข้างหน้า กองทัพบกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์หลายอย่างตามปฏิทินการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า   กองทัพบกเตรียมการทำความเข้าใจของกำลังพล ที่สำคัญที่สุดผู้บังคับหน่วยจะต้องแยกแยะภารกิจให้ออก เราในฐานะกองทัพบกและเป็นทหารของชาติทหารของประชาชน มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม นี่คือหน้าที่ของกองทัพ กองทัพต้องทำงานให้กับรัฐบาล  เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีเกิดขึ้น ผมได้ประชุมผู้บังคับหน่วยและเน้นย้ำในส่วนที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้ให้แนวทางว่าต้องใช้ความระมัดระวัง  จากนี้ไปก็ต้องถูกจับตา จับจ้องจากนักการเมืองยอมรับว่า ทหารขาดประสบการณ์เรื่องการเมือง อาชีพทหาร เราอยู่ในกรม กอง โอกาสพบกับประชาชนมีน้อยมาก นอกจากออกไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเดือดร้อนและประสบภัยต่างๆ  เพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์ที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอกวิถีทางการเมืองลำบาก  ผมจึงให้แนวทางของกองทัพ โดยเฉพาะ กกล.รส.เนื่องจาก เราสวมหมวก 2 ใบ คือ ในฐานะกองทัพบก  และในฐานะที่เป็น คสช.จากการเดินต่อไปนี้ต้องระมัดระวัง ไม่ให้การเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์ จากการช่วยเหลือประชาชนยืนยันว่า กองทัพช่วยเหลือประชาชนเราไม่ได้หาเสียง  ยืนยันว่า ทหารไม่มีความจำเป็นต้องหาเสียง เพราะไม่รู้จะหาเสียงไปเพื่ออะไร การช่วยเหลือประชาชนถือเป็นหน้าที่เป็นอาชีพของทหาร ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเพื่อให้ได้เสียงมา เราช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอดในทุกภารกิจ ในทุกครั้งที่ประชาชนเดือดร้อน นี่คือหน้าที่ของทหาร โดยอาชีพ โดยจิตสำนึก และจิตอาสา ในทางกลับกันผมอยากให้กำลังพลระมัดระวังการฉกฉวยโอกาสที่มองว่า  การไปช่วยเหลือประชาชนของทหารนั้นเป็นการหาเสียง ขอย้ำว่าเราทำมานานแล้ว   และอยากให้ประชาชนได้รู้ว่าทหารช่วยเหลือประชาชนด้วยอาชีพด้วยใจ ไม่ได้หวังผลไม่ได้ต้องการ ให้มาเลือกคนที่ไปช่วยเหลือ แต่ช่วยเหลือตามแนวทางของรัฐบาล  ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลใดเราก็ต้องดำเนินการตามแนวทางที่รัฐบาลที่ได้กำหนดไว้ เช่น ปัจจุบันรัฐบาลได้ต่อยอดโครงการประชารัฐ  เป็นโครงการไทยนิยมยั่งยืน   ก็มี 3 หน่วยงานหลัก ตั้งแต่ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง โดยแบ่งเป็น 2 หมวดด้วยกัน  ก็คงทราบกันดีอยู่แล้วการสร้างความมั่นคงยั่งยืนเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ 10 ประการทั้งหมด  ทหารต้องสนับสนุนให้เดินควบคู่ไป เห็นว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้นเป็นโครงการที่รัฐบาลมีความตั้งใจจริงต้องการให้เกิดความมั่นคงสอดคล้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี   กรมการปกครองได้แจกจ่ายคู่มือมาให้กับกองทัพบก เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน”

 

แถลงมาถึงช่วงนี้  นักข่าวถามแทรกขึ้นว่าหลายฝ่ายมองว่า ทหารสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.อภิรัชต์ ตอบว่า

 

“เราต้องแยกแยะภารกิจให้ออก นี่คือจุดยืนของกองทัพ  จะได้ชี้แจงให้ผู้บังคับหน่วยรับทราบว่า เราต้องระมัดระวัง  จากนี้ไปถูกจับตามองแน่ เพราะกองทัพและ คสช.ก็คือเนื้อเดียวกัน ขณะนี้รัฐบาลก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่าไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเราก็ต้องทำ  ผมก็ต้องทำ ไม่ว่าใคร พรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาล ไม่ต้องห่วง ผมยืนยันและจุดยืนในการทำงานของผม  ในการกำหนดทิศทางๆให้กำลังพลในกองทัพบก ได้ดำเนินการ ผมทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์และเกินร้อยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครมาเป็นนายผม   ส่วนการวางตัวเป็นกลางในสถานการณ์ข้างหน้านั้น   เราเป็นทหารอาชีพ และผมผ่านวิกฤตทางการเมืองและการทหารมาทุกยุคทุกสมัย  ประสบการณ์ที่ผมเก็บเกี่ยวตลอดระยะเวลาที่รับราชการมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ  และมาจาก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  ซึ่งเป็นคุณพ่อของผม จนมายืนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในวันนี้  ความเป็นกลางนั้นขึ้นอยู่กับคนมอง บางครั้งเราทำเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นกลาง แต่มุมมองของคนอื่นมองว่าเราไม่เป็นกลาง   ถามว่าจะเอาอะไรมาตัดสินหรือเป็นเครื่องวัดว่ากองทัพอยู่ตรงไหน  แต่ขอให้มั่นใจว่า กองทัพเป็นกลางและอยู่เคียงข้างประชาชน  จะดำเนินการทุกอย่างให้ประชาชน อยู่ดีกินดีช่วยเหลือประชาชนทุกโอกาส”

 

นักข่าถามต่อว่า กองทัพจะถูกจับตามองหลัง พล.อ ประยุทธ์ ประกาศเข้าสู่การเมือง ท่านจะเว้นระยะห่างระหว่างกองทัพกับพลเอกประยุทธ์อย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ ตอบว่า

 

“อยู่ที่มุมมองของคน การที่ผมไปพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วบอกว่าผมไม่เป็นกลาง ถามว่าใช่หรือไม่  ก็ไม่ใช่  แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาลในขณะนี้ การที่ ผบ.ทบ.ไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเรื่องปกติ  ในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองอื่น ขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผมก็ต้องไปพบ แล้วบอกว่าผมเป็นกลางหรือไม่ ความเป็นกลางอยู่ที่คนมอง  ขออย่าเพิ่งตัดสิน ย้ำว่ากองทัพบกเป็นมืออาชีพ  เป็นทหารอาชีพ คำว่าทหารอาชีพ  กับอาชีพทหารแตกต่างกัน ขอความเป็นธรรมด้วย ตั้งแต่เริ่มต้นว่า  เรากองทัพบกจะวางตัวเป็นกลางเราในฐานะทหารอาชีพ ใครมาเป็นรัฐบาลต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล”

 

นักข่าวถาม  อุปสรรคในการทำหน้าที่และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น มีอะไรน่าห่วงหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ ตอบ

 

“อุปสรรคของกองทัพในขณะนี้ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุด  คือ  การทำให้ประชาชนมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของกองทัพ ว่ากองทัพออกไปช่วยเหลือประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจ  และการทำความเข้าใจกับกำลังพลในการลงไปปฏิบัติหน้าที่  กำลังพลนั้นบางครั้งมุมมองหรือการทำงานของเขา เป็นอุปสรรคในตัวเอง  ถามว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืน จะจบเมื่อไหร่ สมมุติว่าทหารเข้าไปแนะนำชาวบ้านตามคู่มือโครงการไทยนิยมยั่งยืน แต่โครงการไทยนิยมยั่งยืนอยู่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะบอกว่าเราสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หรืออย่างไร ก็ถือเป็นเรื่องลำบากขอให้แยกแยะ อยากให้ประชาชนได้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย  อย่าลืมในช่วงสมัยรัฐบาลรักษาการเมื่อปี 2552 และ 2553 เกิดวิกฤติการณ์ก่อนการเลือกตั้ง ทหารก็ต้องดำเนินการตามรัฐบาลที่รักษาการเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นอุปสรรคก็คือการทำงานและความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย   ทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ที่เราเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนการเตรียมการการเลือกตั้งนั้น ในปัจจุบันให้หน่วยได้มีความเข้าใจตรงกันว่า  วันนี้เกิดอะไรขึ้น   ในปฏิทินการเลือกตั้งตามโรดแมปตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.ป.ประกอบการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส.และ ส.ว. ผมได้แจกจ่ายรายละเอียดให้กับ ผบ.หน่วย เพื่อให้หน่วยมีความเข้าใจว่า จากนี้ไป 90 วัน จะเกิดอะไรขึ้นอีก 150 วัน และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากผู้บังคับหน่วยเข้าใจตรงกันไปในทางเดียวกัน เราก็จะมาดูในแต่ละเรื่องการทำงานกองทัพควรจะดำเนินการอย่างไร  การให้ความรู้กับประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะระบบการเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้เป็นระบบกาเบอร์เดียว  ถามว่าเป็นหน้าที่ของกองทัพหรือไหม  ซึ่งหาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือ ในฐานะหน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่ทหาร ต้องช่วยเหลือ ถามว่าทหารเป็นกลางหรือไม่ หรือจะไม่ให้ทหารทำอะไรเลย ไม่ต้องทำหน้าที่ ไม่ต้องสนับสนุน ไม่ต้องช่วยเหลือประชาชน ก็ไม่ใช่ เพราะเรารับเงินเดือนภาษีอากรจากประชาชน ดังนั้นเรื่องการเตรียมการเลือกตั้งเราพร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาก กกต.มาขอความช่วยเหลือในทุกๆด้าน ตั้งแต่การรักษาความปลอดภัยหรือการให้ความรู้กับประชาชน”

 

นักข่าวถามต่อว่า  สถานการณ์ในอนาคตเกิดวิกฤติกองทัพจะปฏิวัติอีกหรือไม่ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงเป็น ผบ.ทบ.ยืนยันมาตลอดไม่ปฏิวัติ แต่ก็ปฏิวัติ พล.อ.อภิรัชต์ นิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า

 

“เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สื่อได้มีการบันทึกภาพในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าให้เป็นเพียงแต่ภาพที่เกิดขึ้น ให้บันทึกอยู่ในสมองในความทรงจำ เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่เคยเห็นภาพต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ทำอะไรก็ลำบาก ค้าขายก็ลำบาก ถนนถูกบล็อก คนไทยออกมาตีกัน ยิงกัน ฆ่ากัน วันนั้นทหารยืนอยู่ตรงไหน เราถูกรัฐบาลสั่งการให้ออกมาควบคุมความสงบเรียบร้อย  เราทำด้วยหัวใจ ที่ไม่ได้คิดแบบนักการเมืองว่าเราจะเข้ามาบริหารประเทศ  และผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์  ไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน  แต่ความที่ท่านต้องเสียสละ ถามว่าในวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจทำรัฐประหาร ยอมรับว่าผมมีความคุ้นเคยกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่มีเรื่องส่วนตัวกับท่าน  เพราะท่านใช้ผมทำงานมาโดยตลอด เดือนหนึ่งได้เจอกัน 5 ถึง 10 นาทีก็เต็มที่แล้ว  ผมถึงบอกว่าความเป็นกลางก่อนผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก  ผมเจอท่านในเวลาสั้นๆถือว่าเก่งแล้ว   ในชีวิตนี้เคยนั่งคุยกับท่านไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ได้เห็นความรัก ความรู้ ความทุ่มเทในการทำงานของท่าน ซึ่งเป็นแบบอย่างหนึ่งของผมในการดำเนินงานด้านราชการ  และถ้าวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจบ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น  ผมว่าการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยู่ที่ประชาชน  ผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์รุนแรงในบ้านเมืองเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก ที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไม่เคยขนาดนี้ เพราะมีการแย่งแก่งแย่ง ชิงการเมือง การเอาชนะ ไม่รู้จักแพ้ไม่รู้จักชนะ แล้วคนที่แพ้ก็คือประเทศ ยืนยันว่ากองทัพไม่มีวันชนะประชาชน แต่ประชาชนที่ออกมาสร้างความเดือดร้อน ยั่วยุให้จุดไฟเผา มีการประกอบระเบิด นั่นคือท่านแพ้ ท่านเป็นประชาชนที่ทำให้ประเทศแพ้  แทนที่เราจะแข่งขันทางการค้า แล้วต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการยกเลิกการนำเข้าส่งออกของประเทศต่างประเทศเป็นเงินมหาศาลกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้   ใช้เวลาเท่าไร จุดไฟเผาในเมือง เกิดกลียุค ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้ แต่ในทางการค้าไม่ใช่   ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ ผมเชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำทุกอย่าง  อย่างรอบคอบ สิ่งที่สื่อถามว่าจะมีปฏิวัติหรือไม่ ผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเมืองอย่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอีก  ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ก็ไม่มีอะไร  ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง แต่ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว  เพราะช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองดีหรือไม่ดี  แต่เชื่อว่า นักการเมืองที่ดีก็มี และนักการเมืองที่ไม่ดีก็มี แต่ปัจจุบันคนไทยเป็นอย่างไร ผมเสียใจในหลายๆเรื่องที่เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด  การตัดสินคดีในหลายคดีกับคนทำความผิด บอกว่าไม่เป็นธรรม  แล้วประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน อะไรเป็นกลาง อะไรคือจุดยืนของประเทศ ในเมื่อบอกคนนี้ผิด  ก็แย้งว่าไม่ผิดถูกแกล้ง แล้วจะอยู่อย่างไร  ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันจะให้คนไทยอยู่กันอย่างไรโดยไม่มีกฎระเบียบวินัย”

 

matemnews.com

17 ตุลาคม 2561