นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี นำคณะนักธุจกิจสตาร์ทอัพ ประมาณ 500 คน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในงาน “สตาร์ทอัพร่วมกำหนดอนาคตประเทศไทย” ที่ตึกสันติไมตรีหลังนอก เมื่อตอนเช้าวันที่ 1 พ.ย.2561 เพื่อยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับพัฒนาธุจกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย เช่น การแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวก การหาแหล่งเงินทุน การหาตลาด ฯลฯ
ขณะพล.อ.ประยุทธ์ เดินเข้างาน มีการเปิดเพลงแร็ป “Thailand 4.0” ต้อนรับ
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
“ ประเทศไทยต้องระดมความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่มสตาร์ทอัพและคนรุ่นใหม่ เชื่อมั่นว่าจะแข็งกว่าคนรุ่นเก่า โดยเฉพาะโลกปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลมามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียติดอันดับต้นๆ ของโลก วันนี้ได้ฟังเพลงแร็พที่เข้าท่า เข้าทาง แต่คงต้องให้แก้ไขเล็กน้อย ทำนองบางช่วงอาจต้องปรับเปลี่ยน แต่สาระของเพลงดีอยู่แล้ว และลุงใจดีอยู่แล้ว แต่มีหลายเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ อะไรที่ผลกระทบต่อจิตใจก็จำเป็นต้องเตือนบ้าง แต่ไม่ได้ปิดกั้นใคร อย่างไรก็ตาม หากทุกคนรู้เหมือนที่ผมรู้จะทราบว่าการบริหารประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้ต้องเรียนรู้ อย่าเอาแต่เรื่องเดิมๆ เรื่องเก่าๆ หรือเรื่องไม่ดีมาทำให้เป็นเรื่อง แต่เรื่องดีๆ ที่ควรจะเป็นเรื่องก็ไม่เป็นเรื่อง นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไข รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำแต่สิ่งง่ายๆ ครั้งเดียวแล้วจบ แต่มุ่งแก้ปัญหาทุกอย่างแบบไร้รอยต่อที่สำคัญต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า การออกกฏหมายต่างๆ ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน ดังนั้น จึงต้องเร่งสร้างการเรียนรู้ให้กับคนในชาติมากขึ้น ด้วยวิธีการแร็ปดีๆ ก็โอเค เพราะคนรุ่นใหม่นิยมสิ่งใหม่เชื่อง่ายคิดเร็วทำเร็ว อย่างไรก็ตาม เราต้องมีภูมิคุ้มกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ คดโกง และไม่ทำให้ประชาชนและประเทศชาติเสียประโยชน์ ที่สำคัญต้องไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแย้งหรือทำอะไรให้วุ่นวายอีก ผมรับฟังความเห็นทุกคน แต่ไม่ใช่มาตีกันจนทำอะไรไม่ได้ จึงอยากให้ย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะมีโอกาสมานั่งและมีเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างนี้หรือไม่ ผมให้เวลารับฟังความคิดเห็นทุกอย่างอย่างเต็มที่ ตลอดระยะเวลา4 ปีที่ผ่านมาตนเองทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง ก็ต้องแก้ไขกันไปนั่นคือหลักการของประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาเกิดความตื่นตัว แต่หลายอย่างกลายเป็นตื่นตระหนกไปหมด หากไม่ทำให้วุ่นวาย ไม่สนใจเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือไม่โพสต์ต่อก็จบ รัฐบาลต้องปวดหัวไปหมด ขณะเดียวกันความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องไม่ถูกเร้ากระตุ้นไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับ 1 ในเอเชียและอันดับ 7 ของโลก แต่ผมไม่อยากให้เป็นที่ 1 ของโลกและอาเซียน เรื่องความขัดแย้งต้องไม่เกิดขึ้นอีกอยู่ที่พวกเรา วันนี้เราเดินมาในทางที่ถูกต้องแล้ว มีแผนงาน มียุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทที่ต้องนำไปสานต่อให้เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่พูดตรงนี้ พอใจตรงนี้แล้วจบ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมคิดทุกวันทั้งเรื่องที่ทำให้เกิดประโยชน์และไม่เกิดประโยชน์ ที่หลายคนสร้างขึ้นมา ผมก็ต้องมาแก้ไข หลายอย่างเกิดขึ้นมาเยอะแยะ ในช่วงที่ผ่านมาและต้องมีรัฐบาลต่อไปมาทำต่อให้เกิดความยั่งยืน จึงต้องมั่นใจว่ารัฐบาลต่อไปมาทำในเรื่องที่ดีและเรื่องใหม่ๆ ถ้าเขาไม่ทำก็ไม่เกิดประโยชน์ รัฐบาลหน้าต้องมีธรรมาภิบาล และสืบสานสิ่งที่ทำดีๆ เหล่านี้ไว้ อะไรที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ผม ไม่ใช่ใคร และไม่ใช่เรื่องอำนาจและมาตรา 44 และในที่นี้มีใครเดือดร้อนกับตัวผม และมาตรา 44 หรือไม่ เพราะผมไม่เคยไปยุ่งอะไรกับใครมีแต่ทำให้ดีขึ้น ผมพูดทุกวันและพูดทุกวันศุกร์มีทั้งฟังบ้างและไม่ฟังบ้าง แต่ก็บันทึกไว้ทั้งหมดว่า พูดและทำอะไรไปแล้วบ้าง แต่ยังดีกว่าคนที่พูดแล้วไม่ทำ และคนที่ไม่พูดแล้วยังไม่ทำอะไรเลย ผมสามารถตรวจการบ้านของตัวเองไว้ได้หมด และจะไล่ตามทุกเรื่องว่าถึงไหนแล้ว วันนี้อยากให้ประเทศเป็นสตาร์ทอัพ แต่บางคนยังหลับไหลฝันอยู่เลน ฝันไร้สาระ ฝันแล้วไปแทงหวย มันไม่ใช่ผมไม่เคยฝันเรื่องเหล่านี้ ไม่เคยฝันเลยว่าจะมาเป็นนายกฯ ฝันแต่ว่าทำงานตรงไหนอยู่ ขอบคุณหลานๆทุกคนและอย่าลืมลุงนะ เวลาพูดมา ลุงครับ คุณลุงครับ แต่พอมีเรื่องขึ้นมาลืมกันแล้วว่าเป็นลุงเป็นหลานกัน อย่างนี้ไม่ได้ ลุงไม่เคยลืม”
ข่าวของเว็บไซต์รัฐบาลไทย
matemnews.com
1 พฤศจิกายน 2561