ผู้พิพากษาศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ออกนั่งบัลงค์ห้องพิจารณาคดี 806 เมื่อตอนเช้าวันที่ 7 พ.ย.2561 อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1626/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง
1.นายวิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ หรือท็อป อายุ 26 ปี
เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า, พยายามฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำอาวุธปืนออกนอกเคหสถานภายในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา ม.4, 7, 8, 72 และพ.ร.ก.บริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ม.5, 6, 11, 18
อัยการโจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2557 บรรยายความผิดสรุปว่า วันที่ 1 ก.พ.2557 เวลากลางวัน จำเลยกับพวก ได้มีปืนเล็กยาวไม่ทราบชนิดและขนาด ติดตัวไปที่ทางแยกหลักสี่ เขตหลักสี่ ซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และยิงปืนเข้าไปในอาคารศูนย์การค้าไอทีสแควร์ ซึ่ง น.ส. สมบุญ สักทอง, นายนครินทร์ อุตสาหะ และนายพยนต์ คงปรางค์ ผู้เสียหายที่ 1-4 ได้รับอันตรายสาหัส และ นายอะแกว แซ่ลิ้ว เสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุเกิดที่แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีในชั้นพิจารณา
คดีนี้ ศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2559 ว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนเดียวกับคนร้ายที่สวมชุดสีดำ ที่มือสวมถุงกระสอบข้าวโพดสีเขียวเหลือง โดยการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มีอาวุธปืนร้ายแรงที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ฐานมีอาวุธปืนและพกพาไปในที่สาธารณะที่เป็นความผิดตามพ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 4, 7, 8 และ 72 และพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มาตรา 5, 6, 11 และ 18 และประกาศเรื่องห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทหนักสุด และฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน จำคุก 6 ปี แต่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ มีเหตุให้บรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกฐานฆ่าผู้อื่น 33 ปี 4 เดือน และความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน จำคุก 4 ปี รวมจำคุกจำเลย 37 ปี 4 เดือน
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2560
โดยเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน ได้สืบสวนทราบว่ามีคนร้ายเกี่ยว ข้องกับการยิงรวม 21 คน ในจำนวนนี้มีชายชุดดำ คือนายวิวัฒน์ จำเลยคดีนี้รวมอยู่ด้วย ตามที่ปรากฏในภาพนิ่งที่เห็นชายชุดดำ ในสถานที่และเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุหลายรูป แม้โจทก์จะมีเทปภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่าย จากหนังสือพิมพ์ แต่ฝ่ายโจทก์ไม่นำสืบและนำตัวผู้ถ่ายหรือนำประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องภาพมาเปรียบเทียบ กับจำเลย หลักฐานดังกล่าว จึงไม่อาจยืนยัน ภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเป็นตัวจำเลย มีเพียงคำให้การของจำเลยที่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ซึ่งมีพิรุธเคลือบแคลงสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง แต่ให้คุมขังไว้ระหว่างฎีกา
ต่อมาอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นฎีกาขอให้ลงโทษตามฟ้อง
ในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวจำเลย ฉายา “มือปืนป็อบคอร์น” มาจากเรือนจำกลางบางขวาง โดยมีญาติและเพื่อนของจำเลยจำนวนหนึ่ง มาร่วมฟังคำพิพากษา
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบแล้วเห็นว่า โจทก์มีตำรวจฝ่ายสืบสวน บก.น.2และตำรวจสน.ทุ่งสองห้อง เบิกความว่าได้รับมอบหมายให้สืบสวนหาตัวคนร้ายคดีนี้ จึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดของการรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถบันทึกภาพชายใส่เสื้อสีดำ สวมหมวกไหมพรม จำนวน 4-5 คน เดินทางมาจาก ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 5 เพื่อมารอกลุ่มประชาชนที่เดินทางมาจากการชุมนุม กปปส.ห้าแยกลาดพร้าว จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับภาพชายสวมชุดสีดำ สวมหมวกไหมพรม ที่ถืออาวุธปืนใส่ถุงกระสอบข้าวโพดสีเขียวเหลือง ซึ่งเป็นภาพที่ได้ จากอินเตอร์เน็ตในเว็บไซต์พันทิป ที่มีผู้โพสต์ไว้ จนสืบสวนทราบว่าชายคนดังกล่าวชื่อ นายวิวัตน์ ยอดประสิทธิ์ ชื่อเล่นว่าท็อป มีชื่อทะเบียนราษฎร์อยู่ที่ จ.พิษณุโลก จึงออกหมายจับ
นอกจากนี้ก็ยังมีคำให้การของพี่ชายของจำเลยทั้งสองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำภาพชายสวมชุดดำที่สวมหมวกและเปิดหมวกไหมพรมไปให้ดูแล้วก็ระบุว่ามีลักษณะเหมือนกันน้องชายที่มีลักษณะรูปร่างอ้วนท้วม
ขณะที่ภาพเคลื่อนไหวซึ่งได้จากกล้องวงจรปิดและในอินเตอร์เน็ตบางส่วน เมื่อนำมาทำเป็นภาพนิ่งเปรียบเทียบกันก็พบว่า ชายสวมชุดสีดำดังกล่าวมีลักษณะตรงกันหลายจุด ทั้งการสวมเสื้อยืดสีดำแขนยาวไว้ข้างในเหมือนกัน มีเสื้อเกราะ สวมเข็มขัด กางกางยีนส์และรองเท้าเหมือนกัน รวมทั้งตำแหน่งที่ติดอุปกรณ์วิทยุสื่อสารไว้ที่อกด้านซ้ายเหมือนกัน แม้ช่วงที่สวมหมวกไหมพรมจะเห็นแค่ดวงตา ปากและไหล่ แต่เมื่อพิจารณาลักษณะอื่นๆ แล้วก็มีลักษณะตรงกันอีกทั้งพี่ชายของจำเลยก็ให้การว่าบุคคลนั้นเป็นน้องชาย จึงเพียงพอให้เชื่อได้ว่า จำเลยคือชายสวมชุดสีดำดังกล่าว
โดยขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกประมาณ 22 คน ซึ่งเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยให้กับกลุ่ม กปปส.มาชุมนุมบริเวณแยกหลักสี่ ใกล้กับสำนักงานเขตหลักสี่ เพื่อมิให้มีการขนส่งบัตรเลือกตั้งและไม่ให้มีจัดหน่วยเลือกตั้งบริเวณสำนักงานเขต ตามที่กปปส.ประกาศไว้ โดยมีผู้ที่อยู่ในกลุ่มของจำเลยได้ประกาศขณะนั้นว่า “ให้เล็งเอาไว้ ออกมาให้สอยเลย” ซึ่งหมายความว่าหากมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งออกมาก็ให้ยิงได้เลย
แม้จำเลยจะต่อสู้อ้างถิ่นที่อยู่ขณะเกิดเหตุว่า จำเลยได้ช่วยดูแลความปลอดภัยอยู่บริเวณสำนักงานเขตหลักสี่นั้น แต่จากสำนักงานเขตมาจนถึงที่เกิดเหตุบริเวณแยกเกิดเหตุและตึกไอทีสแควร์ก็ไม่ได้มีระยะห่างกันมากนัก จำเลยก็อาจที่จะเดินทางมาได้ โดยในชั้นสอบสวนจำเลยเองก็ให้การรับสารภาพพร้อมนำชี้จุดที่เกิดเหตุต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก ซึ่งข้อนี้ก็ตรงกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า จำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจไม่ถูกบังคับขู่เข็ญและมีบางเรื่องที่จำเลยไม่ขอให้การ เจ้าหน้าที่ก็ได้บันทึกเอาไว้ และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยก็ไม่ได้ขอทนายความให้ร่วมฟังระหว่างให้การด้วย ที่จำเลยอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับให้รับสารภาพนั้นรับฟังไม่ได้
ส่วนประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้ยิงโจทก์ร่วม และผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ตรวจสอบอาวุธปืน ระบุว่าตามภาพที่ปรากฎเห็นลำกล้องอาวุธปืนโผล่มาจากถุงกระสอบข้าวโพด ก็น่าจะเป็นอาวุธปืนยาวเอ็ม 16 หรือ เอเค หรือปืนกลมือ ซึ่งเป็นอาวุธปืนสงครามที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยที่เกิดเหตุก็พบปลอกกระสุน ซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ก็มีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ช่วงเกิดเหตุเบิกความว่าระหว่างที่มีการปะทะกัน เห็นชายสวมชุดสีดำที่อยู่ด้านหลังแท่งปูนแบริเออร์ บริเวณสัญญาณไฟจราจร ใกล้แยกหลักสี่ ซึ่งมีการยิงใส่อีกกลุ่มที่บริเวณไอทีสแควร์ ซึ่งแม้ไม่ปรากฏชัดว่าบุคคลใดเป็นผู้ยิง แต่การที่จำเลยกับพวกร่วมกันก็มีเจตนาร่วม การใช้อาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรง ก็ย่อมเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่า จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกฟ้อง จากเหตุแห่งการยกประโยชน์แห่งความสงสัยยังคลาดเคลื่อนไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จึงพิพากษากลับให้จำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นเวลา 37 ปี 4 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายวิวัฒน์ จำเลยนั้นที่ผ่านมาถูกจำคุกระหว่างดำเนินคดีมาแล้วประมาณ 4 ปี ทั้งนี้ระหว่างฟังคำพิพากษา จำเลยมีสีหน้าเรียบเฉย และภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว จำเลยก็ได้พูดคุยกับญาติและทนายความ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวไปยังห้องขังชั้นล่างศาลอาญา เพื่อรอส่งตัวไปเรือนจำ
matemnews.com
7 พฤศจิกายน 2561