นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แถลงแก่ผู้สื่อข่าวที่กระทรวงการคลัง เมื่อบ่ายวันที่ 21 พ.ย.2561 ประเด็นมีกระแสวิจารณ์มาตรการแจกเงินคนจนเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าของรัฐบาล ว่า
“ไม่ใช่แน่นอน เพราะเรื่องนี้ให้การบ้านกระทรวงการคลังมาเป็นปีแล้ว และเพิ่งทำเสร็จ โดยยืนยันว่ามาตรการที่ออกมาเพื่อมาดูแลกลุ่มคนที่ต้องการดูแล ไม่ใช่มาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คงไม่คิดจะทำมาตรการนี้เพื่อหาเสียง เคยเห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจกเงินไหม ไม่เคยแน่เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขี้เหนียวมาก เวลาจะทำมาตรการอะไรก็คิดมาก ใช้เวลานานกว่าจะสรุปออกมามาตรการที่ออกมาล่าสุด ไม่ได้มีแค่ส่วนเดียว แต่มีทั้งการช่วยเหลือชาวสวนยาง คนชรา ข้าราชการบำนาญ โดยไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งมาคิด ผมพูดเรื่องนี้มาเป็นปี คลังเหมือนคนไทย ชอบส่งการบ้านตอนจะปิดเทอม แต่ทำออกมาถือเป็นสิ่งที่ดีมีแนวทางช่วยคนชราที่มีรายได้น้อย คนวัย 65 ปี เริ่มแก่ถ้าจะไปรักษาโรคในเมืองลำบาก ต้องช่วยเขา อันนี้เป็นเรื่องควรช่วยเหลือ มาตรการที่ออกมาไม่กระทบงบประมาณ เพราะมีเงินอยู่แล้ว จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โดยเงินในเงินกองทุนมีถึง 1 แสนล้านบาท เน้นใช้ดูแลคนที่จนมีรายได้น้อย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นำมาดูแลคนชราเพิ่มเติมนอกเหนือจากเบี้ยยังชีพ ส่วนการให้เงินผู้มีรายได้น้อย 500 บาทต่อคนถือเป็นการช่วยเหลือปลายปี เพราะตลอดทั้งปีเขาลำบาก ตรงนี้เป็นเงินไม่มาก นอกจากนี้ในส่วนของข้าราชการบำเหน็จที่เงินเดือนไม่ถึง 1 หมื่นบาทต่อเดือนให้ถึง 1 หมื่นบาทต่อเดือน เพื่อให้เขาอยู่ได้ เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ต่อไปยังมีอะไรอีกมากที่จะทำ เช่น คนชราต้องการอะไร การช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ขณะนี้ยังทำไม่เสร็จ คงต้องรอรัฐบาลหน้ามาสานต่อ โดยเชื่อว่ารัฐบาลอื่นเข้ามาช่วยดูแลคนชรา เพราะคนชราจะมีสัดส่วนถึง 20% ของประชากรไทยในไม่ช้า มาตรการช่วยเหลือคนชั้นกลางกำลังคิดอยู่ เช่น การสนับสนุนให้ทำสตาร์ทอัพ ในเรื่องของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) จะหมดอายุในปี 2562 จะมีการตัดแปลงเพื่อให้มีการลงทุนต่อได้ ตามข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยของใหม่ที่ทำต้องอธิบายได้ว่าไม่ได้ทำเพื่อเอาใจคนรวย มองว่าแอลทีเอฟช่วยคนกำลังตั้งตัว จูงใจให้มีการออม”
matemnews.com
21 พฤศจิกายน 2561