Home ข่าวทั่วไปรอบวัน “พิชัย นริพทะพันธุ์” วอน “แบงค์ชาติ” ชะลอขึ้นดอกเบี้ยให้นานที่สุดเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง

“พิชัย นริพทะพันธุ์” วอน “แบงค์ชาติ” ชะลอขึ้นดอกเบี้ยให้นานที่สุดเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง

684
0
SHARE

“พิชัย นริพทะพันธุ์” วอน “แบงค์ชาติ” ชะลอขึ้นดอกเบี้ยให้นานที่สุด ชี้ เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง แนะ ไทยวางตัวเหมาะสมระหว่างประเทศมหาอำนาจ

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)  แถลงแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อเช้าวันที่ 3 ธ.ค.2561 ว่า ตามที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศเปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนนี้ จึงอยากขอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะซ้ำเติมภาคธุรกิจทำให้มีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และเพิ่มภาระการใช้หนี้ของประชาชน ซึ่งตลอด 4 ปีนี้เศรษฐกิจย่ำแย่จึงลำบากกันหมด ถ้าเศรษฐกิจดีจริงตามที่รัฐบาลบอก รัฐบาลก็คงไม่ต้องออกมา ลด แลก แจก แถม เพื่อหาเสียงกันถึงขนาดนี้ ผลโพลสำรวจล่าสุดออกมาว่าประชาชน  61.92% มองว่าเศรษฐกิจแย่ลง อีกทั้งปัจจุบันหนี้เสียในระบบธนาคารยังเพิ่มสูงขึ้นมาก หากเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะยิ่งซ้ำเติมให้หนี้เสียเพิ่มมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นซึ่งจะทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาแพงขึ้น และจะทำให้การส่งออกของไทยที่ยังผันผวน อาจจะยิ่งผันผวนมากยิ่งขึ้น และ ในภาวะสงครามการค้าที่เป็นอยู่ ระหว่างสหรัฐ และ จีน ที่อาจจะขยายกำลังวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ การมีค่าเงินบาทที่อ่อนจะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยแข่งขันได้ดีกว่า ทั้งนี้เข้าใจดีว่าอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งหากยังไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยมาก เช่น ยังไม่มีเงินไหลออกจากประเทศไทยในปริมาณที่สูงมากนัก และ อัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ก็อยากให้ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของไทยไปให้นานที่สุด ยกเว้นจะมีปัจจัยที่จำเป็นจริงๆต้องขึ้นดอกเบี้ยจึงค่อยพิจารณาขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวอาจจะสอดคล้องกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว. คลัง ของรัฐบาลนี้ โดยพรรคไทยรักษาชาติ จะคำนึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนเป็นหลักไม่จำเป็นว่าเหมือนกันหรือต่างกัน นอกจากนี้ ในเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่เริ่มจะสงบชั่วคราวหลังจาก สหรัฐและจีนเปิดเจรจารอผล 90 วัน แต่มีโอกาสสูงที่จะกลับมาเปิดสงครามการค้ากันใหม่ได้ และอาจจะรุนแรงถึงขนาดที่ นายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ถึงกับเตือนว่า อาเซียนอาจจะต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐหรือจีนนั้น ขอแสดงความเห็นว่าหากจำเป็นต้องเลือกข้างอาจจะทำให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนเกิดความแตกแยกกันได้ เพราะแต่ละประเทศมีความสัมพันธ์และผลประโยชน์กับแต่ละฝ่ายต่างกัน ดังนั้น อาเซียนและประเทศไทยจะต้องวางตัวให้เหมาะสมเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุด และอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาข้อวิจารณ์ของสื่อต่างประเทศที่ห่วงว่าการที่ไทยพึ่งพาประเทศมหาอำนาจประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไปจะส่งผลเสียกับไทยเอง เหมือนที่หลายประเทศเคยเจอมาแล้ว

 

matemnews.com 

3 ธันวาคม 2561