พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เป็นประธานการประชุมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
สมาคมธนาคารไทย
กรมประชาสัมพันธ์
หารือมาตรการในการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์ที่ขัดต่อความเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีต่อประชาชน พร้อมสร้างการรับรู้ในเรื่องการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เสร็จประชุมแล้วแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน ว่า
ในรอบปี 2561 ที่ผ่านมา กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ดีเอสไอ ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่อง เช่น ขบวนการหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน หรือคอลเซ็นเตอร์ สามารถจับกุมผู้กระทำผิดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลายราย , ขบวนการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่มีถ่ายทอดสดกีฬา จากการตรวจค้นกว่า 30 จุดทั่วประเทศ พบเครือข่ายทีมแอดมิน และจุดกระจายสัญญาณละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้เว็บไซต์ปิดตัวลงไม่น้อยกว่า 90 เว็บไซต์ มีมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหลายรายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านระบบคอมพิวเตอร์ เพราะมีผลตอบแทนจำนวนมหาศาลเป็นแรงจูงใจ และสามารถเข้าถึงบุคคลที่เป็นเป้าหมายได้รวดเร็ว และปิดบังอำพรางตัวตนที่แท้จริง โดยมีการใช้ระบบเก็บข้อมูลใน Cloud เพื่อการปกปิดแหล่งที่ตั้งของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย และการชำระเงินผ่านระบบ e-wallet หรือเงินสกุลดิจิทัล บิตคอยน์ นอกจากนี้ ที่เลวร้ายที่สุด คือ ประชาชนบริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมโดยไม่รู้ตัว เช่น การถูกแอบอ้างชักชวนให้เปิดบัญชี การประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันนี้ ได้สรุปข้อมูลการรับเรื่องร้องเรียนในรอบปีที่ผ่านมา จึงขอแจ้งเตือนประชาชนถึงรูปแบบการกระทำความผิด และวิธีการป้องกันต่างๆ ดังนี้
1. การหลอกลวงหรือฉ้อโกงในการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เช่น การซื้อขายสินค้า/บริการ การชำระเงิน การโฆษณาโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ ที่ไม่มีอยู่จริง (Fraudulent) ประชาชนควรใช้ความระมัดระวัง และตรวจสอบการมีอยู่จริงของผู้ขายสินค้าหรือบริการ หากเกิดความสงสัยหรือไม่แน่ใจ ประชาชนต้องทำการตรวจสอบกลับไปยังหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลการจำหน่ายสินค้า หรือให้บริการประเภทนั้น ๆ ก่อนตัดสินใจ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น
2. การหลอกลวงให้เข้าเว็บไซต์ปลอมที่ทำเลียนแบบเว็บไซต์จริง (Phishing) ซึ่งเป็นวิธีการหลอกลวงที่แพร่หลาย เพื่อมุ่งหวังเงิน โดยจะหลอกให้ผู้เสียหายกรอกข้อมูลสำคัญส่วนบุคคล จากนั้นคนร้ายจะนำข้อมูลดังกล่าวไปทำธุรกรรมทางการเงินแทนผู้เสียหาย เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางธนาคาร ดังนั้นประชาชนต้องใช้ความระมัดระวัง และไม่เผลอเรอหรือรีบเร่งดำเนินการหรือคีย์ข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการธุรกรรมทางด้านการเงินการธนาคารใด ๆ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ไม่น่าไว้ใจ และทำการตรวจสอบความถูกต้องของระบบการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงินการธนาคารทุกครั้ง อย่าหลงเชื่อการขอข้อมูลธุรกรรมง่าย ๆ
3. การหลอกลวงว่าเป็นบุคคลอื่นโดยการปลอมอีเมล์ (Fake Mail) และการเข้าถึงข้อมูลอีเมล์ โดยไม่ชอบ (Hack Mail) ให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน กรณีนี้จะมีการจัดทำอีเมล์ปลอม ที่มีชื่อ (Account) ที่เหมือนอีเมล์จริง หรือการลักลอบเข้าถึงหรือทำการยึดอีเมล์ (Account) ของบุคคลอื่นโดยมิชอบ และทำการหลอกลวงบุคคลที่ติดต่อทางอีเมล์ว่า มีความจำเป็นต้องการใช้เงิน เกิดเหตุการณ์เดือดร้อน และขอยืมเงินบุคคลที่อยู่ ในอีเมล์ ทำให้ผู้ได้รับการร้องขอช่วยเหลือทางการเงินเกิดความเสียหายจำนวนมาก ดังนั้นประชาชนควรดำเนินการตรวจสอบกลับไปยังตัวบุคคลเจ้าของอีเมล์ที่ได้รับการติดต่อมาก่อนให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง
4. การกระทำความผิดโดยการเผยแพร่หรือส่งต่อภาพลามกอนาจาร หรือเผยแพร่หรือส่งต่อข้อความอันเป็นเท็จที่จะทำให้บุคคลอื่นถูกดูหมิ่น เกลียดชังอันเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และกฎหมายอาญา ประชาชนควรใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ ก่อนทำการเผยแพร่หรือส่งต่อ โดยเฉพาะการใช้ช่องทางผ่าน Social Network ต่าง ๆ
5. การหลอกลวงผู้หญิงหรือเพศอื่นด้วยการพูดคุยผ่านโปรแกรมแชท หรือการส่งข้อความ ในลักษณะที่เป็นการจีบ ทำให้เหยื่อเชื่อว่าตกหลุมรัก และไว้ใจ จากนั้นจะขอยืมเงิน หรือหลอกให้ส่งยาเสพติดหรือทำสิ่งผิดกฎหมาย (Romance Scam) ประชาชนจึงควรใช้วิจารณญาณและความรอบคอบ
6. การรับจ้างเปิดบัญชีเงินฝาก เข้าข่ายการกระทำความผิดในฐานะตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดอาญา
ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดในลักษณะข้างต้น ในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีช่องทางในการติดต่อ ผ่าน 5 ช่องทาง ดังนี้
(1) การติดต่อด้วยตนเองที่กรมสอบสวน คดีพิเศษ
(2) การติดต่อผ่านเว็บไซต์ www.dsi.go.th
(3) การยื่นหนังสือที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
(4) ติดต่อผ่านสายด่วนหรือ Call Center 1202 (โทร.ฟรีทั่วประเทศ)
(5) การติดต่อผ่านศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษทั้ง 10 เขต โดยข้อมูลเบาะแสที่ประชาชนแจ้งเข้ามาจะถูกเก็บข้อมูลเป็นความลับ และหน่วยอื่น ได้แก่ กสทช. Call Center 1200 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สายด่วน 1212 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สายด่วน 1710 เป็นต้น
matemnews.com
28 ธันวาคม 2561