นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กล่าวใน งานสัมมนาบ้านเมืองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จัดโดย ญาติวีรชนพฤษา 35 ว่า อยากเห็นการสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องให้กับประเทศในทุกทาง ไม่ใช่พอประเทศไม่อยู่ในระบอบที่ประชาคมโลกยอมรับ กลายเป็นว่าบรรทัดฐานและแนวทางของประเทศต้องย่ำแย่ไปด้วย เช่นทางด้านเศรษฐกิจหากจะตัดสินว่ารัฐบาลใช้เงินตามนโยบายที่ช่วยคนมีรายได้น้อยแล้วผิด จะมีบรรทัดฐานแนวทางอย่างไรที่ถูก หากบอกว่าใช้เงินจำนำข้าวขาดทุน 5 แสนล้านบาทผิด แล้วที่บอกว่าใช้ 900,000 ล้านบาทแต่เศรษฐกิจไม่ดีขึ้นเป็นความผิดหรือไม่ ขอรายละเอียดการใช้จ่ายก็ยังไม่ตอบ ฝาก สตง. ช่วยทำหน้าที่ตรวจสอบด้วย ซึ่งหากมีเรื่องทุจริตก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกันหรือไม่ ในอนาคตจะมีแนวทางอย่างไรจะช่วยคนยากจนและคนด้อยโอกาสได้โดยไม่ถูกดำเนินคดี
การที่จะให้องค์กรอิสระเช่น สตง. กกต. กรรมการยุทธศาสตร์ 20 ปี ฯลฯ มากำหนดว่านโยบายใดทำได้ทำไม่ได้ ต้องถามว่าคนเหล่านี้มีความรู้ความสามารถขนาดไหน และสมควรหรือไม่ ทั้งนี้ การกำหนดบรรทัดฐานของการทำงานขององค์กรอิสระก็ควรชัดเจนและไม่สับสน เข่น การทำงานของ สตง. ในปัจจุบัน โดยเห็นว่า ความเหมาะสมควรจะกำหนดการช่วยเหลือคนจนและคนด้อยโอกาสเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีเลยหรือไม่ แล้วให้รัฐบาลในขณะนั้นไปดำเนินการเองแล้ววัดผล เป็นต้น
อีกทั้งเรื่องบรรทัดฐานในการวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจของประเทศ ควรจะทำได้อย่างกว้างขวางและเสรี เพราะจะทำให้ประชาชนได้ทราบความจริงครบทุกด้านในการตัดสินใจดำเนินธุรกิจ ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วต้องส่งเสริมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจกันมากๆ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังย่ำแย่ ประชาชนกำลังลำบากอย่างมาก อย่างเช่น ข้อมูลของ คุณบรรยง พงษ์พานิช ที่บอกว่า หากเศรษฐกิจไทยโตได้แค่ 3% กว่าที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลพอใจและคิดว่าดีนี้ ประเทศไทยจะตกจากเศรษฐกิจอันดับ 2 ของอาเซียน ไปอยู่อันดับ 5 ในอีก 7 ปี โดยถูก มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม แซง และจะมีสัดส่วน เหลือเพียง 7% จาก 20% ในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อถูกแซงแล้วก็จะถูกทิ้งห่างตามไม่ทันแล้ว ซึ่งจะถือว่าเป็น “กบต้ม” หรือไม่ แล้วจะแก้ไขอย่างไรเป็นต้น โดยหากมีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนก็ควรให้ผู้รับผิดชอบทางเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาชี้แจงว่าที่ถูกคืออะไร ไม่ใช่เอาคนไม่มีความรู้ทางเศรษฐกิจมาแจ้งความว่าบิดเบือนแต่บอกไม่ได้ว่าบิดเบือนอย่างไร ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของผู้รับผิดชอบทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งตกต่ำลง เพราะถูกมองว่าไม่มีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจและขวัญอ่อน รับการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
นอกจากนี้บรรทัดฐานทางการเมืองก็ยังสับสน แนวทางประเทศควรจะส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ไม่ใช่ ตัวบุคคลเข้มแข็ง ซึ่งเป็นหลักการของทั่วโลก แต่ กรธ. กลับพยายามบอกว่าต้องการจะทำให้ตัวบุคคลเข้มแข็ง โดยจะสร้างความสับสนเมื่อให้ผู้สมัครของพรรคในแต่ละเขตมีเบอร์ต่างกัน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการหาเสียงแล้ว ยังจะสร้างความลำบากในการจัดทำบัตรเลือกตั้ง เพราะต้องทำบัตรเลือกตั้งเฉพาะในแต่ละเขต อีกทั้งจะสร้างความสับสนในการนับคะแนนซึ่งจะสร้างปัญหาการนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อีกด้วย หากมีปัญหาเกิดขึ้น กรธ. จะต้องรับผิดชอบหรือไม่ ขนาด กกต. ชุดปัจจุบันยังบอกว่าจะสร้างความยุ่งยากมากและโชคดีที่ถูกปลดก่อน ไม่อยากให้คิดว่าเพียงต้องการทำให้พรรคใหญ่อ่อนแอเพื่อต้องการให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก ถึงจะทำทุกอย่างแม้จะสร้างความสับสนก็ยอมได้
จึงอยากให้คิดให้ดี ตลอด 10 ปี ที่ประเทศที่ประเทศมีปัญหามาถึงจุดนี้ได้ และเศรษฐกิจโตต่ำเฉลี่ยเพียง 3.2 % ต่อปีเท่านั้น ซึ่งโตต่ำสุดในประเทศรายได้ปานกลางระดับเดียวกัน ก็เพราะแนวคิดเพียงเพื่อต้องการทำลายพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาตลอดใช่หรือไม่ หากยังพยายามจะไม่เคารพเสียงของประชาชน ปัญหาก็ยังคงจะเป็นเหมือนเดิม โดยจึงอยากเห็นประเทศมีแนวทางและบรรทัดฐานที่ถูกต้องในทุกทาง ปราศจากตรรกวิบัติ เพื่อจะพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต ไม่ใช่มีแนวทางที่สับสนเหมือนในปัจจุบัน
Matemnews.com 19 สิงหาคม 2560