ผู้พิพากษาศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ออกนั่งบัลลังค์ห้พิจารณาคดี 811 เมื่อตอนเช้าวันที่ 20 ก.พ.2562 อ่านคำพิพากษาคดีความผิดต่อชีวิต หมายเลขดำ อ.3966/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง
น.ส.กฤษณา สุวรรณพิทักษ์ หรือโมนา
อดีตผู้เข้าประกวดสาวงาม ,
น.ส.ปรารถนา ท้วมทรัพย์
นายปราโมทย์ สุวรรณพิทักษ์
เป็นจำเลยที่ 1 – 3 ฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ส่วนจำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
โดย นางจันทิรา ศรีศักดิ์ มารดาผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยเป็นเงิน 1,465,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี
อัยการโจทย์ บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อช่วงเดือน ก.พ.55 น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 ได้พา “น.ส.จริยา ศรีศักดิ์ หรือน้องน้ำ” อายุ 15 ปีเศษ มาทำงานรับใช้ในบ้านที่ จ.เพชรบุรี และเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนอารมณ์ร้าย หากเกิดโมโห ก็จะทุบตีน้องน้ำเสมอ กระทั่งวันที่ 11 เม.ย.55 จำเลยที่ 1 ได้ใช้กระป๋องสเปร์ย ยาวประมาณ 1 ฟุต ทุบตีที่ศีรษะหลายครั้ง อีกทั้งใช้กระบอกพลาสติกแข็งทุบตีบริเวณต้นขา และใช้ที่หนีบผมขณะยังร้อนจี้ตามลำตัวจนได้รับอาการบาดเจ็บสาหัส ก่อนถูกส่งตัวมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 599/10 หมู่บ้านกลางกรุงรัชวิภา แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม.และมาเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 12 เม.ย.55 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะร่วมกับพวกนำศพใส่ท้ายรถ เดินทางมาที่บ้านเลขที่ 91 หมู่ 7 ต.หนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ นางโดโร ทิมพิทักษ์ มารดา ของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 และ 3 ช่วยกันนำศพน้องน้ำไปฝังอำพรางคดีไว้บริเวณใต้ต้นตาล นอกรั้วบ้าน
ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 – 2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดา กลับคำให้การรับสารภาพก่อนเริ่มสืบพยาน ซึ่งคดีนี้ทั้งสามได้รับการประกันตัว และเดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาล
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่หักล้างกันแล้ว เห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยาน ซึ่งเป็นบุตรสาว ของจำเลยที่ 1 เอง ที่เห็นเหตุการณ์จำเลยที่ 1 ทุบตีผู้ตายก่อนเสียชีวิต มาเบิกความยืนยัน เพราะหากไม่เป็นความจริงบุตรสาวจำเลยที่ 1 คงไม่เบิกความถึงมารดาเกี่ยวกับพฤติการณ์ที่เป็นความผิดร้ายแรง นอกจากนี้ ยังมีคำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนที่ให้การไว้ถึง 5 ครั้ง โดยให้การถึงเหตุการณ์ที่ตรงกันหมดเกี่ยวกับการทุบตีทำร้ายผู้ตาย จนมาเสียชีวิตภายหลัง ด้วยเหตุที่ว่าจำเลยที่ 1 เห็นว่าผู้ตายดื้อ ใช้อะไรก็ไม่ค่อยทำตาม ซึ่งจำเลยเป็นคนโมโหร้าย และยังเคยมีเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทจนได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งยังทำร้ายแฟนหนุ่มของบุตรสาวจนศรีษะแตก เพราะไม่พอใจเรื่องการพาไปเที่ยว
การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ใช้กระป๋องสเปรย์น้ำยาปรับอากาศที่มีน้ำยาบรรจุอยู่จึงมีน้ำหนักพอสมควร แล้วใช้ทำร้ายผู้ตายด้วยการตีที่ศีรษะอย่างแรง ต่อมายังใช้ท่อข้อต่อพลาสติกเครื่องดูดฝุ่นตีตามร่างกายผู้ตายอีก รวมทั้งใช้เครื่องม้วนผมที่มีความร้อนจี้ตามลำตัวเป็นบาดแผลนั้น ถือเป็นการเล็งเห็นผลว่าจะถึงแก่ความตายได้
ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จึงพิพากษา ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิตสถานเดียว และให้ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนแก่มารดาผู้ตาย ที่ต้องขาดไร้อุปการะจากบุตรสาวที่เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพด้วย เป็นเงินทั้งสิ้น 1,065,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีที่ผิดนัดชำระ นับตั้งแต่วันที่มารดาผู้ตายยื่นคำร้องให้ชดใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.55 เป็นต้นไป
จำเลยที่ 2 – 3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ให้จำคุกคนละ 2 ปี
คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนมีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 1 ปี 4 เดือน
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพก่อนสืบพยาน ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี แม้จำเลยที่ 3 จะให้การรับสารภาพก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว นับว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรง แม้จำเลยที่ 3 จะเคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทำคุณงามความดีมาก่อน และบรรเทาความเดือดร้อน เยียวยา มารดาผู้ตายแล้วก็ตาม ก็ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
matemnews.com
20 กุมภาพันธุ์ 2562