ปาฏิหารย์เจิ้งจิ่ว
ไทยปิดจ๊อบสวย! หนุ่มจีนบาดเจ็บสาหัสกะโหลกยุบจากเหตุระเบิดราชประสงค์ รักษาตัวในไทยนาน 3 ปีครึ่งจนหายดี แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งกายและใจ เป็นนักท่องเที่ยวจีนรายสุดท้ายที่เดินทางกลับบ้านเกิดประเทศจีน ด้วยความสวัสดิภาพ จากการร่วมแรงร่วมใจของคนไทยที่มีให้มากกว่าคำว่า ‘น้ำใจ’
เหตุระเบิดร้ายแรงที่สุด ที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ คงไม่มีเหตุการณ์ใดรุนแรงเท่าเหตุระเบิดศาลพระท้าวมหาพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ต่อด้วยเหตุระเบิดที่ท่าเรือสะพานสาทรในอีกหนึ่งวันต่อมา เหตุระเบิดครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บ 130 คน มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ที่มีความศรัทธามากราบสักการะพระท้าวมหาพรหม
จากวันนั้นถึงวันนี้ 3 ปีครึ่งแล้ว หน้าที่หนึ่งของคนไทยคือการเยียวยา ดูแล และช่วยเหลือ ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ที่ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งส่งหนุ่มชาวจีนรายสุดท้ายเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความแข็งแรงทั้งกายและใจ
‘เจิ้งจิ่ว’ เจ็บสาหัส สภาพเจ้าชายนิทรา
หนุ่มชาวจีนคนนั้นคือ เจิ้งจิ่ว ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังมีอนาคตที่สดใส กำลังจะได้ทำงานที่ตนรักในประเทศไทย แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเจิ้งจิ่วคือหนึ่งในเหยื่อความรุนแรงจากเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ เจิ้งจิ่วได้รับบาดเจ็บสาหัส กะโหลกศีรษะยุบไปข้างหนึ่ง เข้ารับการรักษาในสภาพไม่รู้สึกตัว ใครๆได้เห็นแล้วต่างบอกว่า สาหัสจริงๆ และน่าจะเป็นเจ้าชายนิทรา นอนติดเตียงไปตลอดชีวิต แต่ความมหัศจรรย์มีจริง ปาฏิหาริย์มีจริง เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด
มาเที่ยวไทย เหมือนเอาชีวิตมาทิ้ง
ก่อนจะเล่าถึง ‘ปาฏิหารย์เจิ้งจิ่ว’ มามองดูฟีดแบ็คของชาวจีนที่รับรู้ถึงเหตุการณ์ความรุนแรงและอุบัติเหตุในไทยเรื่อยมา ตั้งแต่เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ จนมาถึงเรือฟีนิกซ์ล่มที่ภูเก็ต ทำให้นักท่องเที่ยวพี่น้องชาวจีนของพวกเขาที่กำลังท่องเที่ยวในไทยอย่างมีความสุข ‘ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ คนแล้วคนเล่า’ จนนำไปสู่การเผยแพร่ข่าวเชิงลบในจีนว่า ‘ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไม่มีมาตรฐาน มาเที่ยวแล้วเหมือนเอาชีวิตมาทิ้ง’
การเผยแพร่ข่าวจากบล็อกเกอร์ชาวจีนในเชิงลบต่อเมืองไทยนี่เอง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยน้อยลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์อันน่าหดหู่ใจเหล่านั้น ใครบ้างอยากให้เกิดขึ้น และอยากให้มองอีกด้านหนึ่งว่า คนไทยทุ่มเททั้งกายและใจ แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงทุกเหตุการณ์ เพียงแต่ ‘น่าเสียดาย….ที่ไม่มีใครรู้’
คุณกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ซึ่งเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ เยียวยา ผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่ Day One ของเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ รวมถึงคุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนปัจจุบัน ที่เข้ามาสานงานต่อ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อจีน เปิดใจถึงเรื่อง ‘ปาฏิหาริย์เจิ้งจิ่ว รวมถึงการที่คนไทยแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรง ด้วยแรงกายและแรงใจ’
เหตุการณ์ความรุนแรงไม่ใช่ความเป็นไทย
คุณกอบกาญจน์เผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนค่ำ ทีแรกไม่เชื่อ เพราะประเทศไทยไม่เคยมีประวัติเหตุการณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อน จึงรีบเช็คข่าวทันทีว่าเป็นความจริงหรือเปล่า ตอนนั้นตัวคุณกอบกาญจน์อยู่ที่ตลาดยอดพิมาน จากนั้นจึงรีบเดินทางมาที่เกิดเหตุทันที แต่ถนนโดยรอบปิด จึงตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลที่คิดว่าน่าจะเข้าถึงได้ง่ายที่สุดนั่นคือ โรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อให้เห็นด้วยตาตนเองว่า เป็นอย่างไร จะได้ประเมินสถานการณ์ และดำเนินการถูก
คุณกอบกาญจน์เล่าว่า เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ความเป็นไทย แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ ต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ ความคิดแรกคือ ทำให้นักท่องเที่ยวและคนไทยที่บาดเจ็บปลอดภัยให้ได้มากที่สุด และข่าวสารที่ออกไปต้องถูกต้องมากที่สุด จึงตั้งวอร์รูมขึ้นที่สำนักงานของกระทรวงฯเพื่อเป็นศูนย์กลาง รวบรวมข้อมูลข่าวสารให้ถูกต้อง อีกทั้งแก้ปัญหาและช่วยเหลือให้ตรงจุดและรวดเร็วที่สุด
คำแรกที่พูดคือ ‘ขอโทษ’
ตอนนั้นต้องขอบคุณหลายๆหน่วยงาน รวมถึงอาสาสมัครที่เข้ามาร่วมกันทำงานในทันทีโดยไม่ได้ร้องขอเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาสาสมัครคนไทยที่พูดภาษาจีนได้ จากนั้นแบ่งหน้าที่กันว่า ใครจะไปประจำที่โรงพยาบาลไหน ใครจะดูแลเรื่องอะไร ค่อยๆตั้งระบบ ส่วนคุณกอบกาญจน์พยายามไปทุกโรงพยาบาล เข้าไปพูดคุยกับผู้บาดเจ็บทุกคนโดยตรง รวมถึงญาติและครอบครัว
คำแรกที่พูดคือ ‘ขอโทษ’ ขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เราไม่โทษใคร หน้าที่ตอนนี้คือ รักษา ดูแลให้ทุกคนปลอดภัย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ให้กลับคืนสู่ประเทศอย่างปลอดภัยที่สุดด้วยการดูแลจากทางการไทยที่ดีที่สุด นอกจากไปโรงพยาบาลแล้ว ยังไปที่วัด เพื่อพูดคุยและช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ช่วงนั้นสัมผัสได้เลยว่า คนไทยรักคนจีนขนาดไหน เพราะอาสาสมัครเยอะมาก และมีการประชุมร่วมกันหลายๆครั้ง เราเรียกกลุ่มอาสาสมัครกันว่า ‘นางฟ้าที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวเอง – Faceless Angel’ ทุกคนทำด้วยใจ ไม่ได้สร้างภาพ เราไปเยี่ยมทุกคนให้บ่อยที่สุด ติดตามอาการ ติดตามพัฒนาการ พูดคุยกับญาติๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่หายดีและเดินทางกลับบ้านได้
จีนเป็นมหามิตรของไทย
อีกหนึ่งแรงสำคัญคือ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯทรงพระกรุณา ส่งผู้แทนมาทางกระทรวงฯเพื่อช่วยดูแลผู้บาดเจ็บ ให้ฟื้นคืนโดยเร็วที่สุด สมเด็จพระเทพฯทรงตรัสว่า จีนเป็นมหามิตรของไทย ไทยผ่านเหตุการณ์ทั้งดีทั้งร้ายมาหลายครั้ง จีนเป็นประเทศที่เข้าใจประเทศไทยได้ง่ายที่สุด
คุณกอบกาญจน์บอกว่า เหตุการณ์ที่ราชประสงค์ สำหรับคนไทยเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่โตมาก คือแย่มากๆ แต่ท้ายที่สุด คนจีนก็เข้าใจเหตุการณ์ และแม้ว่าต้นเหตุไม่ได้เกิดจากคนไทย แต่คนไทยจะรับผิดชอบให้ได้มากที่สุด จะดูแลเสมือนเป็นญาติ ให้เดินทางกลับบ้านเกิดด้วยความสุขที่สุด อย่างเช่นกรณีเจิ้งจิ่ว เป็นเรื่องที่ประทับใจที่สุด
ปาฏิหาริย์เจิ้งจิ่ว
เจิ้งจิ่ว หายวันหายคืนได้เพราะการรักษาของทีมแพทย์ และส่วนหนึ่งเพราะคุณแม่ของเขาที่มีกำลังใจและให้กำลังลูกของเขาเสมอ จากวันแรกที่เห็นอาการ คิดว่าเจิ้งจิ่วน่าจะเป็นเจ้าชายนิทรา นอนติดเตียง แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้ หลายๆเคสก็คล้ายๆกัน ที่มีอาการดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับอนาคต แต่อดีตที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า คนไทยทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน แต่คงไม่กล้าพูดว่า ประเทศไทยปลอดภัยที่สุด เพราะคงไม่มีใครกล้าพูดคำนี้ เพราะโลกเปลี่ยนไป คนเปลี่ยนไป แต่ไทยก็ต้องอยู่ให้ได้
ด้านนักข่าวจีนบอกว่า เตรียมคำถามมามากมาย แต่แทบไม่ต้องถามอะไรเลย เพราะคุณกอบกาญจน์ตอบครบทุกประเด็นและกลั่นออกมาจากใจจริงๆ ท้ายสุดนี้คุณกอบกาญจน์ฝากข้อความถึงเจิ้งจิ่วด้วยว่า ‘สวัสดีเจิ้งจิ่ว ยังจำกันได้รึเปล่า? ดีใจที่เจิ้งจิ่วกลับมาแข็งแรงมากๆ และกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว อยากชื่นชมเจิ้งจิ่วที่มีพลังและมีความศรัทธาที่จะฟื้นขึ้นมาเพื่อคุณแม่ เจิ้งจิ่วเป็นตัวอย่างที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน เจิ้งจิ่วเป็นคนที่คิดบวกอยู่เสมอ ไม่เคยตำหนิใคร มีแต่รอยยิ้ม และมีความคิดที่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เดินหน้าไปได้อย่างดีที่สุด…
…ตอนนี้ คนไทยก็เหมือนเพื่อนเจิ้งจิ่ว ขอเป็นตัวแทนของคนไทยในการกล่าวคำว่า ประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สองของเจิ้งจิ่ว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต เมื่อไหร่มีโอกาสกลับมาประเทศไทย บอกพวกเรานะคะ ทุกคนอยากเจอเจิ้งจิ่วและคุณแม่อีกครั้ง’
เจิ้งจิ่วเป็นเคสที่มหัศจรรย์
ด้านคุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนปัจจุบันเผยว่า ประเด็นที่ผู้สื่อข่าวให้ความสนใจคือ กรณีเจิ้งจิ่ว ซึ่งรัฐบาลไทยเข้าไปแก้ปัญหาด้วยหัวใจ ด้วยน้ำใจ ให้การรักษาทั้งเคสของเจิ้งจิ่วและทุกๆเคสทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นอย่างดี กรณีของเจิ้งจิ่วบาดเจ็บรุนแรง แรงระเบิดทำให้กะโหลกศีรษะยุบไปข้างหนึ่ง ตอนนั้น เป็นตายเท่ากัน ซึ่งแพทย์ให้การดูแลอย่างดีที่สุด
เจิ้งจิ่วเป็นเคสที่มหัศจรรย์มากๆ หายวันหายคืน อาการดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งจิ่วเข้ารับการรักษารวม 3 ปีเศษ จนมาถึงวันที่คุณแม่ของเขาอยากพากลับบ้านแล้ว แต่ยังกลับไม่ได้ ระหว่างนั้นทางการไทยช่วยดำเนินเรื่องต่ออายุวีซ่าให้ จัดล่ามให้ประจำตัว มีรถรับส่งประจำ และประสานทุกๆฝ่าย กระทั่งหมอที่ทุ่มเทรักษาด้วยหัวใจตั้งแต่โรงพยาบาลจุฬาฯ จนกระทั่งโอนไปสถาบันสิรินธรฯ หมอคนละชุดกัน แต่ก็ต้องเชื่อมโยงการรักษาให้ต่อเนื่อง
ช่วยเหลือไม่ได้! เจิ้งจิ่วไม่ได้ถือวีซ่านักท่องเที่ยว
แต่เมื่อช่วงใกล้ตรุษจีนปีนี้ ผู้บาดเจ็บเคสอื่นๆอยากกลับบ้าน แล้วได้กลับบ้านกันหมดแล้ว เจิ้งจิ่วอยากกลับบ้าง คุณแม่ของเจิ้งจิ่วก็ร้องขอ แต่ติดปัญหาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพราะระเบียบเขียนไว้ว่า เยียวยาได้เฉพาะกรณีที่ถือวีซ่านักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เจิ้งจิ่วไม่ได้ถือวีซ่านักท่องเที่ยว เข้ามาไทยในฐานะนักเรียน มาศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนสำเร็จการศึกษา และได้วีซ่าทำงาน (Non B Visa) ตามระเบียบคือ ช่วยเหลือไม่ได้เลย
ตามหน้าที่ของรัฐบาลคือ จบเท่านี้แล้ว แต่ด้วยความรู้สึกว่า จะช่วย ก็ต้องช่วยให้สุดๆ จึงปรึกษากับปลัดฯและผู้สนับสนุนต่างๆ ปรากฏว่า ได้ผลตอบรับเกินคาด ไม่ผิดหวังเลย สมแล้วที่ไทยคือประเทศที่มีชนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เยอะที่สุดในโลก สมาคม หน่วยงาน ผู้ประกอบการ แจ้งเข้ามาว่า ยินดีช่วยเหลือ จัดงานรับมอบความช่วยเหลือ โดยเฉพาะสมาคมจีนฯทราบข่าว ขอร่วมช่วยเหลือซื้อตั๋ว Business Class ให้ทั้งคุณแม่และเจิ้งจิ่วได้เดินทางกลับบ้านเกิดประเทศจีน
การจัดงานมอบความช่วยเหลือเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ การทำงานและการร่วมแรงร่วมใจที่เรียกได้ว่า Beyond Duty เกินกว่าหน้าที่ไปแล้ว
คนไทยร่วมกันทำหน้าที่ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าหน้าที่คือ ‘น้ำใจ’
มาถึงวันที่เจิ้งจิ่วเดินทางกลับ (8 กุมภาพันธ์ 2562) ทุกส่วนที่เคยร่วมมือ ช่วยเหลือ ดูแล ต่างมาส่งเจิ้งจิ่วด้วยใจ ตั้งแต่เดินทางออกจากโรงพยาบาลจนมาถึงสนามบิน ผ่านขั้นตอนต่างๆที่สนามบินด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ขอเลย ทุกหน่วยงานเสนอการช่วยเหลือเข้ามาด้วยใจ
เรื่องยังไม่จบเท่านี้ ระหว่างที่กำลังดำเนินเรื่องพาเจิ้งจิ่วกลับบ้าน ได้ไปร่วมงานที่เยาวราช ได้ไปนั่งข้างๆท่านนายกฯ นึกอยู่ในใจว่า เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังดีกว่า แต่เพียงแค่เกริ่น ท่านตอบว่า ท่านรู้หมดละ ท่านบอก ท่านรู้ละกัน ทราบเรื่องมาพักนึงแล้ว แล้วก็ยิ้ม ยิ้มเพราะเชื่อว่า จะบริหารงานกันเองได้โดยไม่ต้องสั่งการอะไร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลและทุกฝ่ายร่วมกันทำหน้าที่ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าหน้าที่คือ น้ำใจ เหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยว จะเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ คนไทยก็ได้ขึ้นชื่อว่า มีน้ำใจ จะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ เพราะคนไทยกับคนจีนมีความสัมพันธ์แบบญาติ เพราะอย่างที่บอกไปว่า ประเทศไทยมีคนเชื้อสายจีนอยู่อาศัยมากที่สุดในโลก มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง การช่วยเหลือครั้งนี้ จึงรู้สึกภูมิใจ นักท่องเที่ยวจีนที่มา ‘ไม่ใช่แค่แขก แต่เป็นดั่งญาติ’ คนไทยไม่ได้ถือ Hospitality (การมีใจช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่) ว่าเป็นหน้าที่ แต่เป็นน้ำใจ นักท่องเที่ยวชาติไหน คนไทยก็ให้ Hospitality เพราะมันอยู่ใน DNA ของคนไทย แต่สิ่งที่แตกต่างคือ นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวไทย จะรู้สึกเหมือนใกล้ชิดกว่า
คุณวีระศักดิ์ปิดท้ายด้วยคำขอบคุณ ในภาวะที่ไทยเผชิญปัญหาที่โด่งดังไปทั่วโลก นั่นคือ 13 หมูป่าติดถ้ำ ทีมงานจากจีนเดินทางเข้ามาช่วยเหลือ โดยที่รัฐบาลไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือเลย นี่แสดงถึงความผูกพันธ์อย่างแท้จริงระหว่างจีนและไทย
ในช่วงท้ายของสัมภาษณ์ เมื่อผู้สื่อข่าวจีนถามถึงตัวเลขของค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษา ดูแล เจิ้งจิ่ว ตลอดระยะเวลา 3 ปีครึ่งในประเทศไทย คุณสันติ ป่าหวาย ท่านรองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เข้ามาดูแลกรณีเจิ้งจิ่วด้วยเช่นกัน ให้คำตอบว่า ‘เป็นหลักล้าน’ แต่อย่างที่ท่านรัฐมนตรีบอก ‘จำนวนเงินคงไม่สำคัญเท่าความเต็มใจรับผิดชอบและการมอบน้ำใจของคนไทยให้คนจีน’.