วันนี้ ( 18 เม.ย.62) ผู้สื่อข่าว จ.ตรัง รายงานว่าหลังจากมีการแชร์ภาพลาสิกขาทางสื่อออนไลน์ของ พระครูสุธรรมสาทก (สมภักดิ์) อุปสันโต ซึ่งเป็นพระนักเทศน์ ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและถือเป็นพระที่มีตำแหน่งเป็นถึงอดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมาราม (วัดนาปด) และเป็นเจ้าคณะตำบลนาข้าวเสีย อ.นาโยง จ.ตรัง สร้างความงุนงง ตกตะลึงให้กับพุทธศาสนิกชนในจังหวัดตรังและวงการสงฆ์ไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระครูสุธรรมสาทกฯ ได้บวชมานานถึง 19 ปีเต็ม และได้ปฎิภารกิจทางพุทธศาสนาทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศจำนวนมาก จนกลายเป็นพระนักเทศน์ที่มีความโดดเด่นด้วยวาทศิลป์ที่ชัดเจน มีหลักธรรมคำสอนที่เข้าใจง่าย และมีผู้เคารพนับถือ ศิษยานุศิษย์มากมาย ซึ่งการลาสิกขาครั้งนี้จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาและเป็นที่สนใจของสังคมโดยกว้าง
ผู้สื่อข่าว จ.ตรัง จึงเดินทางไปพบกับพระครูสุธรรมสาทก (สมภักดิ์) อุปสันโต หรือนายสมภักดิ์ เอียดศรี อายุ 38 ปี ซึ่งดั้งเดิมเป็นชาว ต.นาหมื่นศรี อ.นาโยง จ.ตรัง ซึ่งทางนายสมภักดิ์ หรือ หลวงภักดิ์ ซึ่งอยู่ในชุดฆราวาส เหมือนคนปกติทั่วไป ซึ่งก็ทักทายกับผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้า แววตา แจ่มใส ไม่มีท่าทีกังวลใดๆ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองตัดสินใจบวชเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนา ตอนอายุ 19 ปี หลังจากเรียนจนชั้น ม.6 จากโรงเรียนมัธยมวัดควนวิเศษมูลนิธิ จ.ตรัง เพราะเป็นเป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก และด้วยความที่ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมก็เป็นนักเรียนรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในใจก็ตั้งใจและคิดอยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรที่จะตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ฯ และในหลวง ร. 9 คิดได้ก็ตัดสินใจบวชซึ่งทางบ้านก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เพราะแม่ของตนเองเป็นคนชอบไปวัดทำบุญอยู่แล้ว ซึ่งตอนนั้นก็บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหัวเขา ต.นาหมื่นศรี อ.นาโยง จ.ตรัง ศึกษาธรรมะได้ 7 วันก็เริ่มเทศน์และรับกิจนิมนต์ และด้วยความที่ตนเองเป็นคนชอบพูดชอบคุย ทุกครั้งที่มีการเทศน์ก็ทำการบ้านศึกษาข้อมูลมาอย่างดี จนทำให้ชาวบ้านติดใจในลีลาการเทศน์ธรรมะและเลื่องลือ พูดถึงจนทำให้เป็นที่รู้จักออกไปอย่างรวดเร็ว
โดยตลอด 19 ปีที่บวชอยู่ในผ้าเหลืองก็ตั้งใจปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนตามพุทธศาสนาที่ดี และได้รับความไว้วางใจจากพระลูกวัดธรรมดา เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสวัสดิ์รัตนาภิมุขและวัดธรรมาราม (นาปด) จากนั้นก็เป็นพระปลัด และได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมาราม (นาปด) และเป็นเจ้าคณะตำบลนาข้าวเสีย เป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนสึกออกมา ซึ่งตนเองก็ได้บวชเรียนจนจบชั้นนักธรรมเอก และจบระดับปริญญาตรีพุทธศาสนาบัณฑิต และอยากจะเป็นครู เพราะที่บ้านอยากจะให้ทำอาชีพรับราชการ เพราะในบรรดาพี่น้อง 3 คน ไม่มีใครทำอาชีพรับราชการเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งก็อยากจะทำความฝันของแม่ให้เป็นจริง เพื่อให้แม่ได้มีความสุข อีกทั้งขณะที่ตนเองบวช แม่บังเกิดเกล้าก็ถามรบเร้าตลอดว่าเมื่อไรจะสึกสักที อยากให้กลับมาอยู่บ้านด้วยกัน อยากให้ตนเองใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนชาวบ้านทั่วไป ซึ่งตนเองก็ทบทวนเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และจนได้คิดว่าบวชเรียนมาและใช้เวลารับใช้พุทธศาสนามามากพอแล้วจึงตัดสินใจลาสิกขา ออกมาต่อสู้ชีวิตทางโลกดูสักครั้ง และถึงแม้ว่าจะลำบากหรือเจออุปสรรคใดๆ ต่อไปข้างหน้าก็จะไม่ขอกลับไปบวชอีก ทั้งนี้ ตนเองคิดว่าการใช้ชีวิตในทางโลกและทางธรรม ก็มีข้อดีกันละแบบ ไม่กล้าจะบอกว่าทางใดดีกว่ากัน เพราะสถานะไม่ได้บอกความดีชั่วของบุคคล ฉะนั้น สิ่งที่ตนเองตัดสินใจในครั้งนี้ได้มีการคิด ใคร่ครวญ และปรึกษาพระผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือแล้ว ทุกท่านก็ไม่ได้ห้ามปรามทักท้วงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ก็มีบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพนับถือกัน ก็มีร้องไห้ คร่ำครวญ เสียใจบ้าง เป็นธรรมดา
สำหรับการวางแผนชีวิตหลังจากนี้ก็ตั้งใจจะสอบรับราชการ และคงจะมีครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ แต่คงต้องใช้เวลาสักพัก เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว และตอนนี้ยืนยันหัวใจยังว่าง แต่ก็ชอบผู้หญิงที่ตัวเล็กๆ น่ารักๆ แต่ต้องมีความสูงไม่มากกว่าตนเอง