Home ข่าวทั่วไปรอบวัน 9 เหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ไม่ควรเป็นนายกฯต่อ – พิชัย  นริพทะพันธ์  ร่ายให้ฟัง

9 เหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ไม่ควรเป็นนายกฯต่อ – พิชัย  นริพทะพันธ์  ร่ายให้ฟัง

787
0
SHARE

 

 

 

“พิชัย นริพทะพันธุ์” แจง 9 เหตุผล “บิ๊กตู่” ไม่ควรกลับมาเป็นนายกอีก ชี้ ประเทศไทยจะยิ่งล้าหลัง เศรษฐกิจจะยิ่งทรุด การเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาดจะยิ่งเพิ่มขึ้น

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน รัฐบาลพรรคเพื่อไทย  แถลงข่าว 23 เม.ย.2562  ว่า การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคมยังคงติดลบต่อเนื่องโดยติดลบถึง 4.88% ซึ่งเป็นการติดลบเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และการลงทุนยิ่งหดหายตามที่กระทรวงการคลังยอมรับ เศรษฐกิจไทยเริ่มหักหัวลงจนรัฐบาลต้องเร่งอัดเงินกระตุ้นถึงขนาดจะแจกเงินให้เที่ยวกันแล้ว  แต่ก็คงช่วยไม่ได้มากนัก ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง การส่งออกจะยิ่งทรุด การลงทุนจะยิ่งหดหาย เศรษฐกิจไทยจะยิ่งตกต่ำ  ซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว โดยขอให้ 9 เหตุผลดังนี้

 

1.การเลือกตั้งที่จัดขึ้น อยู่ในกติการัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ถึงแม้จะอ้างว่าผ่านการประชามติแล้ว แต่ความจริงคือ ระหว่างการทำประชามติ รัฐบาลและ คสช. ไม่ได้อนุญาตให้มีการถกเถียงชี้แจงข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับทราบ ใครวิพากษ์วิจารณ์ก็ถูกจับและถูกเรียกปรับทัศนคติ นอกจากนี้รัฐบาลและคสช. ยังส่งทหารเข้าไปให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อชักจูงให้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้ ตัวอย่างเช่น ประชาชนจำนวนมากพึ่งจะทราบว่า สว. 250 คน ที่พลเอกประยุทธ์เลือกเองมีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ เท่ากับ สส 500 คน ที่ประชาชนทั้งประเทศเลือก เป็นต้น

 

  1. นอกจากรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาแล้ว การที่รัฐบาลไม่ได้ทำตัวเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ได้อนุมัติจ่ายเงินจำนวนมากเหมือนเป็นการซื้อเสียงเพื่อให้พรรคที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ได้รับความนิยม ต่างประเทศก็เห็นได้ชัด

 

 

  1. การจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ รัฐบาลและคสช. แต่งตั้งมาเอง สร้างความเคลือบแคลงให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยไม่ได้ชี้แจงข้อสงสัยของประชาชนให้ละเอียด การแถลงของ กกต. มีข้อมูลที่ผิดพลาดและขัดแย้งกันเองมาก และขนาดเลือกตั้งเสร็จแล้วยังไม่สามารถบอกประชาชนได้ว่าจะใช้สูตรไหนคำนวณ สส บัญชีรายชื่อ และ เวลาผ่านไปนานแล้วยังไม่สามารถสรุปตัวเลข สส ของแต่ละพรรคการเมืองได้ ซึ่งสร้างความงุนงงสงสัยให้กับนานาชาติ อย่างมาก ขนาดอินเดียมีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนถึง 900 ล้านคน ยังสามารถทราบผลได้ภายในวันเดียว

 

 

  1. ทั้งๆที่มีการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลและคสช. ยังมีการดำเนินคดีกับผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะนักการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลในข้อหาที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ ซึ่งน่าจะหมดไปได้แล้ว แต่รัฐบาลและคสช. ก็ยังไม่เลิกใช้เครื่องมือดังกล่าวกดดันฝั่งตรงข้าม แถมยังอ้างว่าเป็นเรื่องสากล ทั้งๆที่ไม่มีความเป็นสากลแต่อย่างไรเพราะเป็นอำนาจจากช่วงการปฏิวัติ

 

 

  1. การที่รัฐบาลไปตำหนินักการทูตนานาชาติที่เข้าไปสังเกตการณ์การดำเนินคดีของนักการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล แสดงถึงรัฐบาลยังคงยึดติดอำนาจเผด็จการอยู่ใช่หรือไม่ ซึ่งนานาชาติจะให้ความสำคัญกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้อย่างมาก ขนาดสหรัฐและอียูยังออกแถลงการณ์โต้แย้งข้อตำหนิของรัฐบาลไทยโดยยืนยันความสากลในการเข้าสังเกตการณ์

 

 

  1. การที่พลเอกประยุทธ์ ทำการปฏิวัติรัฐประหารและอยู่มากว่า 5 ปี ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับต่างประเทศเลย การลงทุนจากต่างประเทศแต่ละปีเหลือน้อยมาก รัฐบาลยังยอมรับจุดอ่อนนี้เอง และเมื่อมีการเลือกตั้ง ได้มีการจัดการโดยวิธีการและกติกาแปลกประหลาดเพื่อให้ตัวเองได้กลับมา แล้วหากพลเอกประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกจริง นักลงทุนจากต่างประเทศจะมีความมั่นใจในการลงทุนได้อย่างไร

 

 

  1. ตลอด 5 ปีที่รัฐบาลและ คสช. บริหารประเทศ ได้เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาดที่สนับสนุนการปฏิวัติมาโดยตลอด แม้กระทั่งล่าสุด การขยายระยะเวลาการชำระเงินการประมูลของคลื่นโทรศัพท์มือถือก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่มีการเอื้อประโยชน์อย่างมาก นอกจากนี้การประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินโดยแถมการเช่าระยะยาวที่ดินมักกะสันมูลค่ามหาศาลก็เป็นการเอื้อประโยชน์อย่างชัดเจน โดยทั้งสองเรื่องนี้ตั้งใจเร่งให้ทันก่อนการตั้งรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งเพราะรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะไม่สามารถเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาดในลักษณะนี้ได้โดยไม่โดนการคัดค้านและต้องถูกตรวจสอบอย่างหนัก

 

 

  1. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ชัดเจนในสถานภาพของตัวเองว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็จะขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นนายกฯ ไม่ได้ แต่ถ้าหากบอกว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พลเอกประยุทธ์อาจจะต้องรับผิดชอบจ่ายเงินที่ถูกบริษัทเหมืองทองคำของออสเตรเลียฟ้องร้องกว่า 30,000 ล้านบาทเอง เพราะรัฐจะไปจ่ายเงินให้กับการกระทำของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้

 

 

  1. ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีข่าวคราวของการทุจริตคอรัปชั่นจำนวนมากมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะไม่มีฝ่ายค้านในสภา ถึงขนาดที่สื่อต่างประเทศได้ลงข่าวว่ารัฐมนตรีของไทยที่เคยเป็นทหาร มีทรัพย์สินติดอันดับโลกทั้งๆที่ไม่ปรากฏว่าเคยทำธุรกิจด้านไหนมาก่อน อีกทั้งกรณีโยกย้าย “บิ๊กโจ๊ก” พล. ต. ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ที่อาจสร้างความคลุมเครือและมัวหมองเพิ่มขึ้น แล้วจะบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ทุจริตคงจะไม่ได้

 

นี่เป็นเหตุผลหลักๆ และยังไม่รวมถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนจำนวนมากที่มีต่อพลเอกประยุทธ์และการบริหารงานของ คสช. โดยหากรวม สส. จากพรรคต่างๆที่ประกาศก่อนหน้าการเลือกตั้งว่าไม่เอาพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อหลังการเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึง พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคภูมิใจไทยด้วย จะพบว่าจะมีจำนวน สส มากกว่า 300 กว่าเสียง ดังนั้น พลเอกประยุทธ์จึงไม่ควรจะสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯอีกต่อไป