“การที่รัฐสภาปัจจุบัน อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร 500 คน และวุฒิสมาชิก250 คน รวมเป็นสมาชิกรัฐสภา 750 คน จะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิ.ย. 2562 นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ผ่านมาเราเลือกนายกฯ กันในสภาผู้แทนราษฎร ครั้งนี้เป็นพิเศษแตกต่างจากอดีต เพื่อการสืบทอดอำนาจหรือไม่คงไม่ต้องเถียงอะไรกันให้เมื่อยปาก เพราะกติกาที่เห็นๆ กันอยู่ชี้ชัดอยู่แล้ว ฝ่ายหนึ่งต้องการเสียง ส.ส.เพียง 126 คนก็ได้เป็นนายกฯแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งรวมเสียงส.ส.ได้มากกว่า 250 เสียงเกินครึ่งของสภาผู้แทนก็ยังเป็นนายกฯ ไม่ได้ การโหวตนายกฯ ครั้งนี้โดยภาพทางการเมืองที่เห็น ดูไปเหมือนจะเป็นงานสบายหมูๆ แต่ผมเห็นว่า เป็นงานหินเอามากๆ เหตุผลสำคัญเพราะ การเลือกนายกฯ มีความแตกต่างไปจากอดีต เดิมนายกฯ มาจากส.ส.ใครเป็นส.ส.ก็เป็นนายกฯได้ ใครไม่ใช่ส.ส.ไม่มีสิทธิเป็นนายกฯ ที่ผ่านมาจึงไม่ต้องพูดอภิปรายอะไรกันมาก ครั้งนี้ให้รัฐสภาต้องเลือกนายกฯ จากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอตอนเลือกตั้งก่อน โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ถูกเสนอต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรี แสดงว่าบุคคลที่รัฐสภาจะพิจารณามีมติให้เป็นนายกฯ นั้นต้องพิจารณาเสียก่อนว่ามีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกฯ คงไม่ใช่ถึงเวลาก็จะโหวตกันเลยว่าจะเลือกใคร เรียกได้ว่ารัฐสภาจะต้องพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเสียก่อน เมื่อให้รัฐสภาพิจารณา รัฐสภาก็ต้องตรวจสอบเพื่อไม่ให้การเลือกมีความผิดพลาด ที่ผ่านมาปัญหาการดำรงตำแหน่งหัวหน้า คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ต้องห้ามมิให้เสนอให้เป็นนายกฯ เพราะเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ต้องถือว่าเป็นประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้ฟันธงมีข้อยุติชัดเจนแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ แล้วจะเป็นอะไร มีอำนาจหน้าที่ทำอะไรมามากมาย การบอกว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์ดูจะเป็นคำตอบแบบอภินิหารทางกฎหมายเสียมากกว่า เรื่องนี้รัฐสภาจะต้องวินิจฉัย เมื่อมีอำนาจพิจารณาก็ต้องมีอำนาจชี้วินิจฉัย ทั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือกกต. เองก็ไม่ใช่องค์กรวินิจฉัยตีความรัฐธรรมนูญที่จะเป็นข้อยุติสิ้นสุดผูกพันองค์กรอื่นๆได้”
นายชูศักดิ์ ศิรินิล คณะกรรมการทำงานฝ่ายหมายพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเมื่อตอนเช้า 2 มิ.ย.2562
matemnews.com
2 มิถุนายน 2562