Home ข่าวทั่วไปรอบวัน ช่อ  ยิ้มสดชื่นบอกว่าตำรวจยังไม่มีอะไรมาเลย

ช่อ  ยิ้มสดชื่นบอกว่าตำรวจยังไม่มีอะไรมาเลย

583
0
SHARE

รูปของ naewna.com

 

ไม่ได้เจอหลายวันในท่ามกลางสถานการณ์ร้อนรูปชุดครุยวันรับปริญญาจุฬาฯ  จนเช้า 19 มิ.ย.2562 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ TOT แจ้งวัฒนะ จึงได้เขอตัว “ช่อ – พรรณิการ์ วานิช” ส.ส.พรรคอนาคตใหม่  มาในชุดเสื้อเหลืองสดใส กระโปรงฟิตบายขาวดำ  ยิ้มสดชื่นตอบคำถามนักข่าว

 

เป็นการโพสเฟซบุ้คตั้งแต่สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ ขณะนั้นสถานการณ์ทางการเมืองมีความเข้มข้น รุนแรง และมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่าน ยุคที่ตนเป็นนิสิต การเมืองมีความเข้มข้น เพราะมีการรัฐประหารปี 49 ในวันที่ตนเข้าเรียนปี 1 เพียงไม่กี่เดือน และจบในช่วงที่มีการชุมนุม และสังหารหมู่ประชาชนปี 53 การที่เราเรียนคณะรัฐศาสตร์ความสนใจทางการเมืองจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น และเด็กคณะรัฐศาสตร์หลายๆมหาวิทยาลัยมีความตื่นตัว และสนใจทางการเมืองค่อนข้างสูง

 

นักข่าวถามว่า รูปที่โพสต์อาจมีการพาดพิงเบื้องสูง ช่อตอบว่า

 

การจะพาดพิง หรือไม่พาดพิงนั้นคงแล้วแต่การตีความ สำหรับรูปที่เป็นปัญหา ตนยอมรับว่าเมื่อมองย้อนกลับไป ภาพมีความไม่เหมาะสม และอาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจเนื่องจากการตีความที่หลากหลายของแต่ละกลุ่มบุคคล  เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะตีความ  ตนต้องขออภัยอีกครั้งที่ภาพนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และตนก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่ภาพนี้ทำให้เกิดบทสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์บนโซเชียลมีเดีย มีการใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง และนำไปสู่บทสนทนาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหนเลยในสภาวะที่สังคมไทยต้องการเดินไปข้างหน้า

 

ถามต่อว่า เรื่องนี้อาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา ช่อตอบ

 

กระวนการทางกฎหมายก็คงเป็นไปตามขั้นตอน แต่ขณะนี้ทางตนยังไม่ได้รับแจ้งจากตำรวจ จึงต้องรองความชัดเจนจากทางเจ้าหน้าที่   เราจึงไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ เพราะยังไม่ได้รับการแจ้งมา  ตนพร้อมชี้แจง สำหรับการดำเนินการของฝ่ายกฎหมายพรรคอาคตใหม่  เรายังไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะต้องรอกระบวนการ เรื่องทางคดีความก่อนว่าตำรวจจะรับแจ้งความหรือไม่ และรับโดยข้อหาอะไร เพราะจากที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อก็เป็นเพียงข่าว  เรายังไม่ได้รับแจ้งจากทางตำรวจอต่อย่างใด  พรรคอนาคตใหม่ ไม่ต้องการให้นำสถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตี ทำลายล้างทางการเมือง ตนไม่ใช่นักการเมืองคนแรง และนักการเมืองตนสุดท้ายที่โดนโจมตีในข้อหาแบบนี้  ทุกคนได้เห็นอยู่แล้วว่าไม่ได้ส่งผลต่อดิฉันอย่างเดียยว แต่ยังส่งผลถึงครอบครัว เพื่อน  เราไม่ได้เตรียมใจที่จะได้รับแบบนี้ เราตัดสินใจทำงานทางการเมือง เรารู้ว่าจะเผชิญกับอะไร แต่พ่อแม่ และเพื่อนของเรา ไม่สมควรต้องมารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเรา และเหตุการณ์นี้ทำให้เรื่องบานปลายไปถึงพ่อ และเพื่อนของตน  ดิฉันไม่สบายใจ และเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า เวลาเรานำเรื่องแบบนี้มาโจมตีทางการเมือง ทำให้เกิดความเสียหาย ตนเสียใจที่สุดตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตย หัวก้าวหน้า มักจะถูกสกัดกั้นทางการเมืองด้วยข้อหานี้ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ตัวได้เลย แม้จะทำได้ แต่บั้นปลายชื่อเสียงความน่าเชื่อถือทางสังคมหมดแล้ว อีกทั้งยังมีโทษหนัก จึงขอร้องว่า อย่านำสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีทางการเมือง เชื่อว่า ประเทศไทยมีจุดยืนร่วมกันแล้วเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมืองในระบอบรัฐสภา ย่อมชัดเจนแล้วว่า อนาคตใหม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การทำงานในรัฐสภาก็ต้องเดินไปทางนี้  หนึ่งปีที่ผ่านมาพรรคก็ถูกโจมตีด้วยเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก บุคคลอื่นและตัวพรรคเองก็เคยโดน เราได้แต่ยืนยันและหวังว่า สิ่งที่เราต้องการสื่อสารจะไปถึงประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถูกโจมตีแบบนี้ อนาคตใหม่ ตั้งใจทำงานการเมืองด้วยความหวัง เพื่อทำลายการเมืองด้วยความกลัว แน่นอนว่า การที่เราพุ่งชนปัญหาและผู้มีอำนาจ จึงต้องเจออุปสรรคเยอะ แต่ยังเดินหน้าต่อไป เชื่อว่า ผู้สนับสนุนและไม่สนับสนุนเราที่รักความเป็นธรรมจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ยักข่าวถามว่า  “พรีโฮห์จิมินห์” ที่โพสต์หมายถึงอะไร ช่อตอบ

 

นี่เป็นประวัติศาสตร์เวียดนาม มีความชัดเจนในตัวเอง ภาพที่ถ่ายเล่นๆนั้นสวมหมวกเวียดนามถือตราสัญลักษณ์ จึงโพสต์โยงไปถึงประวัติศาสตร์เวียดนาม  ต่างจากประวัติศาสตร์ไทย เส้นทางของคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ประชาธิปไตยในไทย ไม่ได้ซ้อนทับกัน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้  เป็นเรื่องที่จำบริบทตอนโพสต์ไม่ได้แล้ว เป็นการถ่ายกันเล่นๆ ในที่ทำงาน  ในสถานีโทรทัศน์จะมีการตั้งตราสัญลักษณ์อยู่แล้ว การที่โพสต์เฟซบุ้คเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว การโพสต์ในสมัยที่อาจจะเข้มข้มหรือรุนแรงกว่านี้ แต่เมื่อการเวลาผ่านไปการเดินทางทางความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าย้อนกลับไปจะแก้ไขอะไรหรือไม่นั้น อดีตเป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันเป็นเรื่องปัจจุบัน การตัดสินในปัจจุบันเป็นสิ่งที่วิญญูชนทำกัน การเดินทางทางความคิดประวัติศาสตร์ไทย การเดินทางของนักศึกษาเดือนตุลาฯเข้าป่ามีความสุดโต่ง เวลาผ่านไปอีกก็เรียนรู้ว่าไม่ใช่แล้วก็กลับมา รัฐบาลในยุคนั้นก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะไม่ได้กำจัดพื้นที่ความคิดแตกต่าง แต่ว่าให้พื้นที่คนเหล่านี้กลับมากลายเป็นภูมิปัญญาของประเทศชาติ ที่สำคัญสังคมจะอยู่อย่างสมานฉันท์ได้ ไม่ใช่การยึดความคิดทั้งหมดไว้ ไม่ให้ที่คนเห็นต่าง แต่ต้องให้พื้นที่ทุกคน อย่างกรณีของตนนั้นไม่ถือว่า สุดโต่ง การตั้งคำถามถึงจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง  ตอนนั้นนิสิตนักศึกษาต่อต้านการรัฐประหารมาก แต่ถูกป้ายสีว่า ไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนสังคมตัดสินไปแล้ว ตอนนั้นจึงตั้งคำถามกับการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนของสังคมนี้คือการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง”

 

matemnews.com 

19 มิถุนายน 2562