Home ข่าวทั่วไปรอบวัน หมวดเจี๊ยบโพสต์น่ากลัว

หมวดเจี๊ยบโพสต์น่ากลัว

389
0
SHARE

 

เฟชบุ้ค หมวดเจี๊ยบ Sunisa Divakorndamrong

ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้หลักเกณฑ์อย่างไรในการวางตัวคณะรัฐมนตรี แต่เชื่อว่าไม่ได้พิจารณาโดยยึดหลักความรู้ความสามารถ ไม่งั้น หน้าตาของ ค.ร.ม ประยุทธ์ 2 คงไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดนี้

 

ถ้าวิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่า การจัด ค.ร.ม โดยมีลักษณะ 5 ประการ หรือ ‪5 ส. คือ

 

  1. “สายเลือดมาก่อนความสามารถ”

 

จะเห็นได้ว่ามีนักการเมืองที่ได้โควต้าเป็นรัฐมนตรีหลายคน ตัดสินใจไม่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเองเพราะมีมลทินพัวพันเรื่องทุจริต หรือมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล จึงส่งต่อเก้าอี้รัฐมนตรีให้คนในครอบครัวแทน เช่น พี่น้อง ลูก หรือ คู่ครอง ทั้ง ๆ ที่ ญาติพี่น้องของตัวเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ที่เหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรี แต่ได้รับตำแหน่งแบบส้มหล่นเหมือนได้รับมรดกตกทอดจากตระกูล แล้วจะบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ในเมื่อเป็นแค่รัฐมนตรีหุ่นเชิด

 

  1. “สมนาคุณเก้าอี้รัฐมนตรี” ให้ผู้ที่ยอมย้ายค่ายมาซบเผด็จการ

 

ดังนั้น บางคนจึงได้เป็นรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญเพราะมีมลทินมัวหมองเรื่องทุจริต ไม่ได้มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ แต่ก็ยังเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้ เพราะยอมหักหลังประชาชนเพื่อช่วยเผด็จการสืบทอดอำนาจ บางคนแม้จะโดนดำเนินคดีแต่ก็หลุดคดีเพราะยอมย้ายค่าย

 

  1. “สมบัติผลัดกันชม”

 

จะเห็นได้ว่าเก้าอี้รัฐมนตรีหมุนเวียนอยู่ในกลุ่มคนหน้าเดิม ๆ ที่สมคบคิดกันยึดอำนาจ เช่น เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งควบตำแหน่งเอง ราวกับจะบอกว่าพี่ครองเก้าอี้มานานแล้ว ถึงเวลาต้องลุกให้น้องนั่งบ้าง

 

เหตุใดพวกท่านจึงไม่เปิดโอกาสให้นายทหารที่เป็นคนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาบริหารกองทัพบ้าง เพราะตลอดเวลาที่พวกท่านกุมอำนาจ ก็ไม่ได้ทำให้กองทัพมีความเจริญก้าวหน้า มีแต่ใช้กองทัพมาเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมือง ทั้งยังผลาญงบประมาณแผ่นดินในการซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลทางลบต่อกระแสความนิยมต่อกองทัพ ทำให้ประชาชนรักทหารน้อยลง

 

  1. “สืบทอดอำนาจเป็นหลัก” จึงมองข้ามทัศนคติที่เป็นอันตรายของบุคคลที่วางตัวให้เป็นรัฐมนตรี

 

ทำให้หลาย ๆ คนได้เป็นรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่ ไม่ได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในหลักการประชาธิปไตยและไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งยังเคยมีส่วนร่วมในการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยมาก่อน

 

  1. “สาวกทักษิณคิดล้างครู”

 

จะเห็นว่า รัฐมนตรีอย่างน้อย 15 คน ใน ค.ร.ม ประยุทธ์ 2 นี้ เคยเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลกับ อดีต นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มาก่อน โดยหลายคนเป็นลูกน้องเก่าที่เคยยืนเกาะโต๊ะขอตำแหน่งจาก นายกฯ ทักษิณ

 

หรือแม้แต่ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แม้จะอยู่พรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเดียวกับ อดีตนายกฯ ทักษิณ ในสมัยที่อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็น ร.ม.ว ต่างประเทศ สังกัดพรรคพลังธรรม เมื่อปี 2537 โดยมี นาย ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี

 

แต่ปัจจุบัน ลูกน้องเก่าของ อดีตนายกฯ ทักษิณ หลายคนหักหลังและใส่ร้าย อดีตนายกฯ ทักษิณ จนได้รับเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นรางวัลสมนาคุณ ทั้งยัง หลุดคดีเพราะยอมย้ายข้างและพูดจาให้ร้าย นายกฯ ทักษิณ

 

และเมื่อบุคคลเหล่านี้ มีอำนาจก็ลอกนโยบายของ อดีตนายกฯ ทักษิณ แล้วเปลี่ยนชื่อโครงการเพื่อขโมยผลงานเป็นของตัวเอง แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่า สมัยรัฐบาล ทักษิณ เพราะขโมยความคิดมาโดยไม่เข้าใจปรัชญาหรือแนวคิดเบื้องหลังนโยบายเหล่านั้น

 

ทั้งนี้ วิธีจัด ค.ร.ม แบบนี้ จะส่งผลเสียต่อ ระบบเศรษฐกิจ และการเมืองการปกครองของประเทศ อย่างน้อย 3 ประการ หรือ 3 ส. คือ

 

  1. จะเกิดการ “สวาปาม” หรือโกงกินอย่างมโหฬาร เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดช่องให้เกิดเผด็จการรัฐสภา จนไม่สามารถตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่

 

  1. จะ “สิ้นเนื้อประดาตัว” กันทั้งประเทศ เพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล จึงรู้สึกสิ้นหวังต่ออนาคตของประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งฝืดเคือง จนไม่สามารถฟื้นตัวได้

 

  1. จะเกิดความ “เสื่อมถอย” ของพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลเต็มไปด้วยบุคคลที่ไม่ได้ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

 

ซึ่งน่ากังวลว่าความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ เพราะที่จริงแล้ว ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยยังไม่ได้หายไปไหนแต่ถูกซุกอยู่ใต้พรม จึงยังสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อหากมีตัวกระตุ้น

 

รัฐบาลจึงควรใช้อำนาจด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นการเขี่ยเชื้อไฟของความขัดแย้งให้ปะทุขึ้นอีกครั้งจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ไม่มีใครอยากให้เกิด.

 

 

matemnews.com 

11 กรกฎาคม 2562