สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเวทีเสวนา ที่ห้องประชุมชั้น 3 เมื่อ เวลา 13.30 น.;yomuj 13 d.8.2562 หัวข้อ
“สภาที่สาม The Third Council Speak คดีอุตตม ใครถูก ใครผิด ประชาชนพิพากษา”
นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกลุ่มกฤษดามหานคร เป็นลูกหนี้รายใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2537 – 2546 วงเงินต้นรวมดอกเบี้ย เป็นวงเงินหนี้กว่า 13,000 ล้านบาท กระทั่งปี 2546 หนี้ก้อนดังกล่าวเป็น NPL หรือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารของรัฐ จึงมีหน้าที่เข้ามาแก้ปัญหาว่าทำอย่างไรให้กิจการดำเนินต่อไปได้ ทางกลุ่มกฤษกามหานคร จึงขอกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย ก็ได้รับการอนุมัติโดยมติคณะกรรมการบริหารพิจารณาสินเชื่อในยุคนั้น ที่มีนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เป็นหนึ่งในกรรมการ
ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2546 เป็นการรับรองรายงานประชุมเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 ถัดมาเพียง 1 วัน คือวันที่ 18 ธ.ค.2546 มีการเบิกเงินกู้วงเงินชำระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาปิ่นเกล้า โดยแยกเป็นเช็ค 11 ฉบับ ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร และนำไปชำระคืนธนาคารกรุงเทพ เพียง 4,500 ล้านบาท ที่เหลือ 3,500 ล้านบาท นำไปใช้อย่างอื่นจึงไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการขอกู้
จากนั้น 1 เดือน มีการประชุมติดตามผลของลูกหนี้รายใหญ่ ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า นายอุตตม ไม่ได้แสดงท่าทีในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐแต่อย่างใด อีกทั้งยังเคยยอมรับในที่ประชุมว่าลูกหนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไข จึงอยากตั้งคำถามถึงนายอุตตม ในฐานะที่อดีตเป็นหนึ่งในกรรมการที่อนุมัติการปล่อยกู้ดังกล่าว ว่าตั้งแต่มีการอนุมัติวงเงินชำระหนี้ เคยแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการปล่อยกู้เมื่อไหร่บ้าง
นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด อภิปรายเป็นคนต่อมา ว่า การประชุมเรื่องการปล่อยกู้ดังกล่าวมีการประชุม 3 ครั้ง แม้ว่านายอุตตม จะไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย 1 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีการปรากฏว่านายอุตตม ได้แสดงความเห็นคัดค้าน และแม้ว่านายอุตตม ไม่ได้เข้าประชุม แต่ต้องรู้รายละเอียดการประชุมจากรายงานการประชุม
ภายหลัง แม้มีการชี้แจงต่อธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็เป็นการชี้แจงในช่วงที่มีการปฏิวัติ จึงหาความถูกต้องเป็นธรรมได้ยาก เพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่ในอำนาจเหนือกลุ่มบุคคลใดในประเทศ
นายอุตตม ไม่ได้แสดงความคัดค้านใดๆ เลย และรายงานการประชุมก็ถูกรับรองโดยกรรมการทุกคนโดยไม่มีบันทึกว่ามีการคัดค้าน ดังนั้น นายอุตตม ก็ต้องหามาให้ได้ว่ามีหลักฐานอะไรที่ท่านไม่เห็นด้วย การที่ไปพูดที่ไหนก็ตามว่าไม่เห็นด้วย ใครก็พูดได้ เพราะเป็นการพูดภายหลัง
กรณีที่นายอุตตมไปเป็นพยาน และให้การในศาลว่าไม่เห็นด้วยนั้น การกันเป็นพยานไม่ได้มีอยู่ในกฎหมาย แต่เป็นเทคนิคในการสอบสวน เพื่อหาคนผิดมาลงโทษด้วยการกันคนที่ผิดน้อยที่สุดมาเป็นพยาน เพื่อเอาโทษคนที่ผิดสูงสุดมารับโทษ แต่ไม่ได้หมายความว่านายอุตตมไม่ผิด
ในชั้นสอบสวนกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องมีการกันใครเป็นพยานด้วยซ้ำ สิ่งที่ติดอยู่ในใจตนทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ คือ กระบวนการสอบสวนไม่ว่าในชั้นใดก็ตามไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น เพราะมีคนที่มีอำนาจเหนือทุกคนในประเทศ ถ้าคนใจแข็งก็สู้ได้ แต่ถ้าใจไม่แข็งก็ให้เรื่องจบไป ขณะเดียวกัน การที่ไม่เอาชื่อนายอุตตม ใส่ไว้ในสำนวน ก็อยู่ที่อำนาจ และดุลพินิจของหน่วยงานนั้นๆ ซึ่งจากการสอบสวนที่ผ่านมา ผลมักออกมาไม่ตรงไปตรงมานัก อยู่ที่จะไปสะกิดเอาอะไรออกมา
นักข่าวที่ฟังอยู่ถามว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) สรุปสำนวนไม่ตรงกับหลักฐานที่มี นายชัยเกษม ตอบว่า
มีความพยายามเปลี่ยนข้อเท็จจริงในการที่นายอุตตม เข้าไปร่วมอนุมัติเงินกู้ด้วย แต่ไม่มีหลักฐานใดปรากฏที่ธนาคารกรุงไทยเลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่การปล่อยเงินกู้จำนวนขนาดนี้จะไม่ระบุหลักฐานอะไรไว้ เพราะเป็นเรื่องที่เป็นความเป็นความตายของทุกคน การที่ คตส.ไปเชื่ออย่างนี้ ตนไม่ให้ราคา เขาจะพูดจะเขียนอย่างไรก็ว่ากันไป เพราะเราอยู่ในยุคที่บ้านเมืองไม่ปกติ คนที่รู้สึกอึดอัดกับเหตุการณ์นี้ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะถ้าไม่ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ ก็อาจจะถูกทุบแบบจ่านิว คนเลยเลือกที่จะปิดปาก วันนี้เมื่อปรากฏพยานหลักฐานใหม่ขึ้นมาอาจจะมีการรื้อคดีขึ้นมาสืบสวนใหม่ได้ แต่ในทางคดีนายอุตตม ยังไม่เคยเป็นผู้ต้องหาขนาดถูกสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ดังนั้น ถ้ามองในมุมคดีอาญายังอยู่ในข่ายที่ถูกดำเนินคดีได้ แต่จากความรู้สึกของตน ถ้ายังอยู่ในยุคนี้ ก็อย่าไปหวังเลยว่าจะมีการรื้อคดีนี้ขึ้นมาพิจารณา กรณีนี้เป็นที่ประจักษณ์แล้วว่านายอุตตม ไม่ได้มีความซื่อสัตย์ สุจริต จนเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีความสง่างาม จากนี้ก็ให้ประชาชนเป็นผู้พิจารณาเอง
matemnews.com
13 กรกฎาคม 2562