Home ข่าวทั่วไปรอบวัน กรมศุลฯ แจง “สายหิ้ว”ถ้าของมูลค่าเกิน2 หมื่นต้องเสียภาษี!

กรมศุลฯ แจง “สายหิ้ว”ถ้าของมูลค่าเกิน2 หมื่นต้องเสียภาษี!

605
0
SHARE

กรมศุลกากรชี้แจงการซื้อสินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศว่าถ้ามูลค่าสูงกว่า 20,000 บาท ต้องเสียภาษีเพิ่มโดยแบ่งออกเป็นค่าอากรบวกด้วยภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะระบุไว้ตามประเภทสินค้า ถ้าใครรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1332

นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรณีมีผู้โดยสารโพสต์ข้อความลงสื่อโซเชียล สงสัยเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าของติดตัวผู้โดยสารทางท่าอากาศยานนั้น กรมศุลกากรขอชี้แจงว่า ผู้โดยสารจะได้รับยกเว้นอากรสำหรับของส่วนตัวเพื่อใช้เอง หรือใช้ในวิชาชีพมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท จะต้องไม่เป็นของต้องห้าม อาทิ ยาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น ของต้องมีใบอนุญาต (ของต้องกำกัด) อาทิ อาวุธปืน พืช เป็นต้น และไม่มีลักษณะทางการค้า

อย่างไรก็ตาม หากผู้โดยสารนำของที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือเป็นของที่มีลักษณะเชิงพาณิชย์ หรือ สินค้าเพื่อการค้าขาย แม้จะมีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท ของดังกล่าวเป็นของต้องเสียภาษีอากร ซึ่งผู้โดยสารสามารถมาสำแดงของเพื่อเสียภาษีอากร ที่ช่องตรวจมีของต้องสำแดง (ช่องแดง) และหากของนั้นเป็นของต้องกำกัด ของนั้นต้องได้รับอนุญาตให้นำเข้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน

สำหรับอัตราภาษีอากรนำเข้า จะแตกต่างกันตามชนิดและประเภทสินค้า เช่น กระเป๋า 20% นาฬิกา 5% เครื่องสำอาง 30% เข็มขัด 30% เป็นต้น และสินค้าเหล่านี้จะต้องรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) อีก 7% ด้วย โดยค่าภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ คือ อากรขาเข้ารวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม อาทิ ซื้อเซ็ตอาบน้ำมาใช้มูลค่า 1,500 บาท จะถูกคิดภาษีในอัตรา 30% หรือเสียภาษีเพียง 450-500 เท่านั้น เป็นต้น ส่วนกรณีประเด็นที่มีการร้องเรียนว่า ซื้อเซ็ตอาบน้ำมา 1,500 บาท เสียภาษีถึง 10,000 บาทนั้น คิดว่าเจ้าของโพสต์อาจจะบอกรายละเอียดไม่หมด

“สำหรับใครที่กลัวว่านำเข้าสินค้าเพื่อมาใช้เองเป็นจำนวนมาก จะถูกมองว่านำสินค้ามาขายนั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าที่นำมาและปริมาณที่นำติดตัวเข้ามา ถ้าประมาณ 1-3 ชิ้น เจ้าหน้าที่กรมศุลฯ คงไม่มองว่านำสินค้ามาค้าขาย แต่ทั้งนี้ตามกฎหมายไม่ได้ระบุว่านำเข้าสินค้าปริมาณเท่าใดถึงจะถูกเรียกว่านำสินค้ามาใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งตรงนี้จะอยู่ที่ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่”

โดยถ้าหากผู้โดยสารเสียภาษีสินค้าแล้ว จะต้องได้รับใบเสร็จจากเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง ถ้าหากไม่ได้รับใบเสร็จจะถือว่าเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ สามารถร้องเรียนได้ ส่วนใครที่ไม่ต้องการจะเสียภาษีนำเข้าสินค้าถ้าหากถูกเรียกเก็บภาษีสามารถยกสินค้าเหล่านั้นให้เป็นของรัฐบาลได้

“หากผู้โดยสารคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการจัดเก็บภาษีของเจ้าหน้าที่ศุลกากร หรือพบเห็นเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ศุลกากร สามารถร้องเรียนได้ตามช่องทางต่างๆ ได้แก่ โทรศัพท์สายด่วนรับเรื่องร้องเรียน 1332 ร้องเรียนผ่านทาง Application LINE ID: @customshearing ร้องเรียนด้วยตนเองผ่านศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ตามโครงการ “ระฆังศุลกากร” ของแต่ละส่วนราชการที่ท่านใช้บริการ รวมถึงส่งไปรษณีย์มาที่กรมศุลฯ หรือส่ง E-mail มาได้ที่ ctc@customs.go.th”

นอกจากนี้ยังสามารถมาร้องเรียนด้วยตนเองที่กลุ่มคุ้มครองและส่งเสริมจริยธรรม ณ กรมศุลกากร หรือร้องเรียนผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี GCC 1111 นอกจากนี้ท่านยังสามารถร้องเรียนไปหน่วยราชการอื่น เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนได้อีกด้วย ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมโปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ จุดปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรสนามบินนั้นๆ.