เฟชบุ้ค Watana Muangsook
รัฐธรรมนูญฉบับที่นายมีชัยเขียนเริ่มพ่นพิษออกมาเรื่อยๆ นอกจากจะบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนที่เลือกคนอื่นแต่ได้ประยุทธ์มาเป็นนายกแล้ว ล่าสุดคือ ส.ส. ปัดเศษจะขอยุบพรรคหนีตายเพื่อไปหาพรรคใหม่อยู่เพราะมีข่าวว่า ส.ส. นครปฐมที่ป่วยอาจจะลาออกซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ทำให้ ส.ส. ปัดเศษที่ได้คะแนนน้อยที่สุดอาจถูกปรับออกแบบที่เคยเกิดเมื่อเลือกตั้งซ่อมที่เชียงใหม่
ความอุบาทว์ของรัฐธรรมนูญที่นายมีชัยเขียนยังมีมากกว่านั้น โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามคือ 84 เสียง ก็คนเหล่านี้เข้ามาได้เพราะรัฐธรรมนูญแบบนี้จึงไม่มีทางจะยกมือหนุนให้มีการแก้ไขเพื่อทุบหม้อข้าวตัวเอง ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลอยากแก้ไขก็ทำไม่ได้หากพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ที่มีเสียงรวมกัน 217 เสียงไม่เอาด้วย เพราะมาตรา 256 (6) บัญญัติว่าต้องได้รับเสียงจากฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 หรือประมาณ 50 กว่าเสียง
ทั้งหมดคือความเลวของรัฐธรรมนูญที่เขียนมาเพื่อแช่แข็งประเทศ ออกแบบการเลือกตั้งที่มีแห่งเดียวในโลกทำให้ได้รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำขาดเสถียรภาพ เพราะวันๆ ต้องแก้ปัญหาให้ตัวเองโดยวิธีซื้อตัวหรือดูด ส.ส. ฝ่ายค้านมาเติมเสียงให้รัฐบาล สวนทางกับแนวทางปฏิรูปการเมืองที่ทุกฝ่ายอยากเห็นและแก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ ขอใช้คำหยาบว่าวิธีการที่อัปรีย์ขนาดนี้ถ้าไม่ใช่คนที่สุดๆ จริงๆ ไม่มีทางคิดออก นั่นคือเหตุผลที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอญัตติเพื่อขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาวิธีแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนมาใช้บังคับต่อไป
วัฒนา เมืองสุข
23 สิงหาคม 2562
………………………………………………..
กรุงเทพฯ 23 ส.ค.-“สมชัย” จี้กกต.เคลียร์ปัญหา “ไพบูลย์” เลิกพรรคประชาชนปฎิรูป เกรงพรรคใหญ่ใช้เกมนี้ดึงพรรคเล็กหนีความผิดควบรวมพรรค เชื่อเรื่องนี้ถึงศาลรธน.แน่
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปยื่นยุบพรรคต่อกกต. ว่า การยุบพรรคมี 2 กรณี คือยุบตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญและตามมติของคณะกรรมการบริหารพรรคที่เห็นว่าไม่สามารถบริหารจัดการภายในพรรคได้ เช่น มีหนี้สิน และไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองได้จึงยื่นยุบต่อ กกต. ซึ่งเมื่อพรรคยุบพรรคแล้ว ส.ส.ยังมีสถานะความเป็น ส.ส.อยู่ โดยจะต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน แต่จะมีปัญหากรณีที่ส.ส.เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งมาจากคะแนนรวมทุกเขตของทั้งประเทศที่ถูกนำมาคำนวณเป็นจำนวนส.ส.พึงมี
“คำถามคือส.ส.ดังกล่าวจะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่เท่าไหร่ของพรรคการเมืองใหม่ที่ไปสังกัด เพราะจะมีปัญหาหากมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ที่ต้องคำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งซ่อมภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เช่นกรณีจังหวัดเชียงใหม่ เขต 8 เป็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่าเกิดการปรับเปลี่ยนจำนวนส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค เพราะเมื่อคำนวณคะแนนใหม่ทั้งประเทศ ทำให้พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มพรรคละ 1 คน แต่พรรคที่ส.ส.หายไปคือพรรคไทรักธรรม แสดงให้เห็นว่าแม้คะแนนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่สามารถสร้างผลกระทบได้” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า หากยุบพรรคของนายไพบูลย์แล้ว จะต้องลบคะแนนของพรรคประชาชนปฏิรูปกว่า 45,000 คะแนนออก และนำไปคำนวณใหม่ ซึ่งนายไพบูลย์สามารถไปสังกัดเฉพาะพรรคที่จะได้ส.ส.พึงมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่านายไพบูลย์ต้องการจะไปอยู่พรรคนั้นหรือไม่ และพรรคนั้นจะยอมรับนายไพบูลย์หรือไม่ หากพรรคที่จะได้จำนวน ส.ส.เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ นอกจากนี้หากนายไพบูลย์ได้ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์จะแทรกลำดับของผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กกต.ต้องหาคำตอบให้ได้ เพราะถึงอย่างไรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส.ของพรรคอย่างแน่นอน
“กรณีนายไพบูลย์จะเข้าข่ายเป็นการควบรวมพรรคหรือไม่ เพราะพรรคประชาชนปฏิรูปมีส.ส.เพียงคนเดียว ดังนั้น การที่นายไพบูลย์ไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐจะเท่ากับการย้ายพรรค 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบตามมาอีกมากในทางการเมือง เนื่องจากพรรคใหญ่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้ให้พรรคเล็กยุบและดึงส.ส.เข้ามาอยู่ในพรรคใหญ่ เพื่อเลี่ยงกฎหมายการควบพรรคการเมือง หรือพรรคเล็กอยากจะหนีความเสี่ยงว่าจะหลุดออกจากตำแหน่งส.ส. เพราะได้คะแนนรวมของพรรคต่ำไปสังกัดพรรคใหญ่แทน ซึ่งจะทำให้หลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายผิดเพี้ยนไปหมด” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า นอกจากการคิดในเชิงนิติศาสตร์แล้ว อยากให้กกต.มองในทางรัฐศาสตร์ที่จะมีผลกระทบที่ตามมาภายหลังด้วย เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นเรื่องที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่เคยคาดคิดมาก่อน จึงไม่มีบทบัญญัติใด ๆ เกี่ยวกับกรณีนี้.-สำนักข่าวไทย
……………………………………………
กกต. 23 ส.ค.- “ไพบูลย์” ยืนยันย้ายไป พปชร. เพราะยุบเลิกพรรค ไม่ใช่หนีเสี่ยงหลุด ส.ส. ยินดีพ้นจากตำแหน่ง หากภายใน 1 ปี มีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ แล้วไม่อยู่ในเกณฑ์
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงาน กกต. ว่า วันนี้ (23 ส.ค.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชนปฎิรูป เดินทางมาที่สำนักงาน กกต. พร้อมเปิดเผยว่า มาเซ็นเอกสารในการแจ้งยุบพรรคเพิ่มเติม เนื่องจากไม่ได้เซ็นชื่อในสำเนาบัตรประชาชน พร้อมมั่นใจว่าการยื่นครั้งนี้ น่าจะสามารถดำเนินยุบพรรคประชาชนปฎิรูปได้ เพราะเข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย และทันทีที่ กกต.ประกาศยุบพรรคในราชกิจจานุเบกษา ก็จะเดินทางไปสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทันที
นายไพบูลย์ ยอมรับว่า ไม่สามารถนำคะแนนของพรรคประชาชาปฎิรูปโอนไปให้พรรคพลังประชารัฐได้ และหากภายใน 1 ปี มีการเลือกตั้งใหม่ มีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ คะแนนของพรรคที่มีอยู่กว่า 45,000 คะแนนไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้ ส.ส.ก็ยินดีที่จะพ้นจากตำแหน่ง
นายไพบูลย์ ยังกล่าวว่า บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การที่ตนไปสมัครทำให้จำนวน ส.ส.ของพรรคเพิ่มเท่านั้น ไม่ได้ไปอยู่ในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐ และการย้ายพรรคในครั้งนี้ เพราะการยุบเลิกพรรค ไม่ได้เพราะหนีความเสี่ยงที่จะหลุดจาก ส.ส. เพราะคะแนนของพรรคตนยังอยู่ในเซฟโซน . – สำนักข่าวไทย
matemnews.com
23 สิงหาคม 2562