เฟชบุ้ค ดร.รยุศด์ บุญทัน Dr.Rayuth Bunthan
รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ ชี้ 3 พฤติกรรม ทำรัฐบาลวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก นับถอยหลังรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ หากยังไม่ปรับท่าที วอน รัฐบาลและกองทัพหากหาทางออกไม่ได้อย่าแก้ไขปัญหาด้วยวิธีรัฐประหารอย่างเดิม ไม่มีฝ่ายใดชนะ แต่คนที่แพ้คือประเทศและประชาชน
ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวแสดงความเห็น หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติของฝ่ายค้าน ว่า ตนต้องขอชื่นชมการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้เวทีสภาเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาตอบคำถามหลังจากที่หลีกเลี่ยงการตอบกระทู้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม แม้ทุกฝ่ายจะเคารพและเห็นตรงกันถึงการใช้สภาเป็นกลไกในการแก้ปัญหาของประเทศตามครรลองระบอบประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าการทำหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์ ในเวทีสภาครั้งนี้ ถือว่าสอบตกไม่ได้คะแนนเลยแม้แต่คะแนนเดียว เพราะไม่สามารถตอบคำถามและให้เหตุผลแก่สังคมได้ว่า เพราะเหตุใดพลเอกประยุทธ์ และ ครม. จึงกล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ แม้ว่านายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ตอบคำถามแทน แต่กลับยิ่งสร้างความสงสัยให้กับสังคมมากขึ้นถึงบรรทัดฐานต่อเรื่องนี้ในอนาคตต่อไป
รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาล และพลเอกประยุทธ์ กำลังเผชิญต่อวิกฤตศรัทธาประชาชนมากที่สุดนับตั้งแต่บริหารประเทศมา ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำที่ผ่านมา 3 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
- การถวายสัตย์ ไม่ครบตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งไม่รับวินิจฉัย และระบุว่าไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใดก็ตาม แต่กระบวนการถวายสัตย์ดังกล่าว ตนมองว่าเป็นการกระทำต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ซึ่งเป็นองค์ประมุขของประเทศ หากมีข้อผิดพลาดประการใดอย่างน้อยรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ก็ควรแสดงความรับผิดชอบทางใดทางหนึ่ง
- ภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรีหลายคนยังมีปัญหา และข้อเคลือบแคลงสงสัยจากสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และความชอบธรรมทางการเมือง ที่นักการเมืองยุคใหม่ต้องมีและคำนึงถึงเป็นสิ่งแรก
- การแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำท่วมของรัฐบาลที่ไม่ทันต่อสถานการณ์ ประชาชนได้รับผลกระทบและเกิดความเดือดร้อนหลายพื้นที่ แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นภัยจากธรรมชาติ แต่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาลที่จะต้องรีบเร่งแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์ให้ทันท่วงที ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถแสดงถึงการมีภาวะความเป็นผู้นำได้ ในขณะที่ภาคส่วนอื่นๆ ทำงานแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วกว่ารัฐบาลด้วยซ้ำไป
รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวทิ้งท้ายว่า วิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลและผู้นำประเทศครั้งนี้ เป็นครั้งที่ใหญ่หลวงมากที่สุดครั้งหนึ่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะอดีตส่วนใหญ่ หลังผู้นำกองทัพยึดอำนาจสำเร็จก็จะปกครองประเทศเพียงระยะหนึ่ง แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งมีรัฐบาลพลเรือน แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่เพียงปกครองประเทศมายาวนานถึง 5 ปี แต่ยังมีการออกแบบรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรีได้ ไม่รวมถึงระบบการเลือกตั้ง องค์กรอิสระ และกฎหมายอื่นๆ ที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจทำให้ พลเอกประยุทธ์ สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามตนอยากให้สังคมไทยร่วมกันพิจารณาถึงหลักการ และเหตุผล ตัดอคติทางการเมืองออกไป ตนเข้าใจฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ แต่วันนี้ประเทศต้องการอนาคต และมีอนาคตที่ดีสำหรับลูกหลานเราในวันข้างหน้า พลเอกประยุทธ์ รวมถึงนักการเมืองทุกคนก็ต้องล้มหายตายจากไป แต่สิ่งสำคัญที่เราจะต้องสร้างกันต่อไป คือทำให้ลูกหลานเรา เติบโต และเรียนรู้กับสิ่งที่ถูกต้อง สร้างคุณค่า และการรับรู้อย่างมีเหตุและผล ภายใต้กฎหมายที่เท่าเทียม และเป็นธรรมสำหรับทุกคน และทุกฝ่าย และตนไม่อยากเห็นวิกฤตศรัทธาครั้งนี้ ลุกลามบานปลาย จนทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่ และกลายเป็นความขัดแย้งรอบใหม่ของประเทศ วันนี้ยังไม่สายหากพลเอกประยุทธ์ ยังไม่คิดจะลาออก และยังอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นผู้นำประเทศของคนไทยทุกคนต่อไป ท่านก็ควรจะฟังเสียงของสังคม และฟังเสียงของประชาชนบ้าง เพราะท้ายสุดหากวิกฤตศรัทธาประชาชนสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และพลเอกประยุทธ์ยังหาทางออกและแก้ไขปัญหาจากเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ ตนก็ไม่อยากเห็นพลเอกประยุทธ์ รัฐบาล หรือ กองทัพ ต้องแก้ไขปัญหาประเทศด้วยวิธีการรัฐประหารแบบเดิมอีก เพราะนั่นก็ยิ่งจะทำให้ประเทศบอบช้ำมากขึ้นกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว ไม่มีฝ่ายใดชนะ แต่คนที่แพ้คือประเทศและประชาชน
matemnews.com
22 กันยายน 2562