“พิชัย” ชี้ ปฏิวัติยิ่งทำเหลื่อมล้ำ “บิ๊กตู่” ไม่เข้าใจเศรษฐกิจ แจกเงินไม่แก้เหลื่อมล้ำ ติง รัฐบาลขาดการสร้างงานเพราะการลงทุนลด แนะ เปิดโอกาสคนรุ่นใหม่และยกระดับรายได้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานเสวนา “ไทย เหลื่อมล้ำที่สุดในโลกจริงหรือ” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ จัดโดยสภาที่ 3 ว่า การปฏิวัติรัฐประหารทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นจากอันดับสิบกว่าขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก ทั้งนี้เพราะรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนและชนชั้นสูง จึงไม่ได้ตอบสนองและไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ จะเห็นได้ว่า 4 ปีแรกรัฐบาลแทบไม่ทำอะไรที่ช่วยคนส่วนใหญ่เลย แถมยังโจมตีนโยบายประชานิยมด้วย แต่พอก่อนเลือกตั้งถึงมาคิดช่วย ทำให้รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ลดลง แต่เจ้าสัวกลับรวยขึ้นมากเป็นคนละหลายแสนล้านบาท บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กำไรเพิ่มกันทั่วหน้า มีอภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลกเพิ่มขึ้น ในขณะที่มีคนจนที่รับบัตรคนจนถึง 14.5 ล้านคน จึงเห็นชัดว่ามีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น และที่สำคัญคือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ไม่เข้าใจเศรษฐกิจ แต่กลับคิดว่าตัวเองเข้าใจดี เช่น เศรษฐกิจไทยแย่มาตลอด 5 ปี แต่พลเอกประยุทธ์ยังกลับคิดว่าดี เป็นต้น ความไม่เข้าใจยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำหนักขึ้น หากยังเป็นเช่นนี้ความเหลื่อมล้ำในอนาคตอาจลดลงเพราะประชาชนจะจนเหมือนกันหมด ยกเว้น พวกเจ้าสัวไม่กี่คนที่สนับสนุนรัฐบาลที่ยังคงรวยมากเท่านั้น
ความจริงในระบบทุนนิยมเสรี ความเหลื่อมล้ำถือเป็นเรื่องปกติ และ ประเทศที่เจริญจะต้องมีเศรษฐีจำนวนมากๆ ซึ่งไม่ใช่กระจุกอยู่กับไม่กี่ตระกูลเหมือนในประเทศไทย ดังนั้นอย่ารังเกียจคนรวย แต่ต้องรวยแบบไม่มาจากการผูกขาด และ ไม่รวยจากการเอาเปรียบคนทั้งชาติ แต่ที่สำคัญคือรัฐบาลจะต้องยกระดับความเป็นอยู่ของคนระดับล่างและคนระดับกลาง ซึ่งจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประชาชนที่อยู่ระดับล่างสุดจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ นโยบายการแจกเงินของรัฐบาลไม่แก้ปัญหา และ อาจเพิ่มปัญหา เพราะการแจกเงินเหมือนเป็นการโปรยทาน ไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนได้ และรัฐบาลยังมีกรอบคิดแต่เรื่องเล็กๆ เช่น แจก 1000 บาท ชิมช้อปใช้ ซึ่งแทบไม่มีผลต่อเศรษฐกิจเลย ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ปัญหาหลักคือ รัฐบาลแทบไม่ได้สร้างงานเพิ่มเลย เพราะการลงทุนหดหายไปมาก แถมมีบริษัทปิดตัวบ้าง บริษัทย้ายฐานบ้าง แม้แต่ อีอีซี ที่เพิ่งจะทำหลังจาก 4 ปี ก็อาจจะไม่ประสพความสำเร็จได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโลก และความไม่น่าเชื่อถือของรัฐบาล ที่ล่าสุดยังมีเรื่อง รมต. ที่เกี่ยวกับ ยาเสพติด
ความเหลื่อมล้ำที่หนักสุดคือ ความเหลื่อมล้ำของโอกาสของคนในประเทศ รวมถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และ การเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งต้องแก้ด้วยการสร้างไทยดรีม ที่เหมือนกับอเมริกันดรีม โดยการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว จะสร้างโอกาส และ สร้างปัญหาไปพร้อมกัน ถ้ารัฐบาลสามารถลดความเหลื่อมล้ำในการสร้างโอกาสให้กับประชาชนได้ ประชาชนก็จะสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นเศรษฐีกันมากๆได้ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาใช้ ขณะเดียวกันหากยังมีความเหลื่อมล้ำทางโอกาสก็จะเท่ากับปิดโอกาสของประชาชน ไม่สามารถจะไต่เต้าขึ้นมาได้เลยเช่นกัน
ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้รัฐบาลเร่งสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การเร่งพัฒนาการศึกษา การให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสพัฒนา จัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณ ลดงบทหาร ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการเพิ่มขึ้น การส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี ให้ทุนการศึกษาแก่คนเก่งๆไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ต้องอาศัยผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจและทิศทางของโลก ถ้ามีผู้นำทีมีวิสัยทัศน์จำกัด ขนาดทั้งโลกกำลังเข้าสู่ Ai, Robotic, Machine Learning, Blockchain ฯลฯ แต่ผู้นำไทยยังเพิ่งดีใจกับการใช้กูเกิ้ลเป็น ซึ่งจะไม่สามารถนำประเทศให้ก้าวหน้าเท่าทันประเทศอื่นได้ อีกทั้ง ยังกล้าต่อว่าคนรุ่นใหม่ว่าคิดไม่เป็น ขนาดได้ผู้นำเก่งสุดยังไม่แน่ว่าไทยจะสู้กับประเทศอื่นเขาได้ไหม ในภาวะแข่งขันของโลกในปัจจุบัน เพราะผู้นำที่เก่งๆในโลกมีเยอะมาก แต่ปัจจุบันประเทศไทยกลับมีผู้นำที่หลงยุค ขาดองค์ความรู้ หลงตัวเอง ไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ แค่เรื่อง รมต ยาเสพติดก็ตอบเขาไม่ได้แล้ว แล้วไทยจะสามารถไปแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างไร จึงอยากเตือนกันไว้ มิเช่นนั้นไทยจะตกยุคอย่างรวดเร็ว และความเหลื่อมล้ำอาจจะเป็นความน่ากังวลที่น้อยที่สุดแล้ว เพราะไทยจะเป็นเหมือนพม่าในอดีตที่ประชาชนจนและล้าหลังเหมือนกันหมด
matemnews.com
5 ตุลาคม 2562