Home ข่าวทั่วไปรอบวัน มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ปรับแผนเผชิญเหตุภัยแล้งให้ทันต่อสถานการณ์

มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ปรับแผนเผชิญเหตุภัยแล้งให้ทันต่อสถานการณ์

324
0
SHARE

วันนี้ (4 ธ.ค. 62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป ปริมาณฝนรวมจะมีค่าต่ำกว่าปกติ ส่วนบริเวณภาคใต้จะมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อไป

ซึ่งจากการติดตามสภาพอากาศและการบริหารจัดการน้ำมาอย่างต่อเนื่องรวมทั้งข้อมูลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพบว่า ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาถึงแม้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ตลอดจนแหล่งน้ำธรรมชาติในประเทศจะสามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ยังพบว่าบางพื้นที่ในภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ยังคงมีความเสี่ยงเนื่องจากมีปริมาณฝนตกน้อย ไม่อยู่ในเขตชลประทาน และไม่มีแหล่งเก็บน้ำสำรอง อาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคได้ และในเขตชลประทานนั้นก็มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำด้านการเกษตร เนื่องจากหลายพื้นที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำน้อยจึงอาจไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนการเพาะปลูก

จึงสั่งการไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัด ปรับแผนเผชิญเหตุภัยแล้ง ทั้งในภาพรวมและเฉพาะเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยดำเนินการใน 5 แนวทาง ได้แก่

1) ใช้กลไกระบบบัญชาการเหตุการณ์ มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบ่งเป็น 3 กลุ่มภารกิจหลัก คือ “กลุ่มพยากรณ์” , “กลุ่มบริหารจัดการน้ำ” และ“กลุ่มปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ” 

2) สำรวจตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค พร้อมกำหนดมาตรการรับมือ อาทิ การจัดทำแผนสำรองน้ำการหาแหล่งน้ำสำรอง การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เป็นต้น

3)ในการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร ให้ขอความร่วมมือไม่ให้เกษตรกรทำการปิดกั้นลำน้ำหรือสูบน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูกตามแผนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อลดผลกระทบการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคในพื้นที่ พร้อมประสานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรในการจัดทำฝนหลวงในพื้นที่เมื่อสภาวะอากาศเอื้ออำนวย

4)เฝ้าระวังและควบคุมไม่ให้มีการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ คู คลอง หรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย และ

5)รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการประหยัดน้ำ และทราบถึงมาตรการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐและเชิญชวนประชาชนจิตอาสาในพื้นที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้าง/ซ่อมแซมแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กเพื่อปลุกจิตสำนึกการใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเน้นย้ำว่า ขอให้ทุกจังหวัดบูรณาการการทำงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานต่าง ๆ มุ่งแก้ไขปัญหาภัยแล้งร่วมกัน มีการทำงานอย่างเป็นระบบและคำนึงถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกทั้งนี้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พร้อมสนับสนุนทรัพยากรทุกด้านเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นและหากพี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง สามารถติดต่อสายด่วนสาธารณภัย โทร.1784 ตลอด 24 ชั่วโมง