Home ข่าวทั่วไปรอบวัน ความในใจจาก ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ก่อนฟังคำพิพากษา

ความในใจจาก ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ก่อนฟังคำพิพากษา

526
0
SHARE

จากกรณี ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก สรยุทธ สุทัศนะจินดา พร้อมพวก 6 ปี 24 เดือน คดีสนับสนุนให้พนักงานในองค์กรของรัฐกระทำความผิดเมื่อไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท ทราบ ทำให้ อสมท ได้รับเงินค่าโฆษณาล่าช้าจำนวน 138 ล้านบาท ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด วันนี้ (21 ม.ค.63)  แฟนเพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว โพสต์ข้อความถึงความในใจ โดยระบุว่า 

ความในใจจากพี่ยุทธ ก่อนฟังคำพิพากษา

โพสต์โดยแอดมิน

###############

ไม่ว่าผลคำพิพากษาวันนี้จะออกมาอย่างไร ผมยอมรับ เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตผมจากนี้ไปเอาไว้แล้ว

๒ ศาลพิพากษาว่าผมผิด พิพากษาจำคุกผม ๑๓ ปี ๔ เดือน ผมรู้ว่ามันคงยากที่จะหวังให้ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ผมได้รับอิสรภาพ

ผมได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมาอย่างครบถ้วนแล้ว ผล ออกมาอย่างไร ผมก็ต้องยอมรับ

ผมได้พยายามแสดงให้เห็นว่า ไร่ส้มโฆษณาเกิน ในขณะที่ อสมท.โฆษณาเกินมากยิ่งกว่า โดยไร่ส้มไม่เคยไปเบียดบังเวลาโฆษณาของ อสมท. แต่เมื่อเห็นว่าสถานีเป็นเจ้าของเวลา จะทำอะไรก็ได้ ผมก็ยอมรับ

กระบวนการโฆษณา ไม่เคยมีการปกปิด และถึงจะต้องการปกปิด ก็ปกปิดไม่ได้โดยเจ้าหน้าที่ธุรการเพียงคนเดียว โดยมีกระบวนการที่เปิดเผยเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมาเกินกว่า ๕๐๐ ครั้ง เจ้าหน้าที่คนนี้ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้วผ่านใบคิวโฆษณาทุกวัน แต่เมื่อเห็นว่าโฆษณาเกินปกปิดได้ ผมก็ต้องยอมรับ

การจ่ายเช็คทั้ง ๖ ฉบับ มีที่มาที่ไปว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้ทำงานเกี่ยวกับการขายโฆษณา มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างครบถ้วน ยอดเงินเป็นเศษสตางค์ และตัวเลขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโฆษณาเกินเลย แต่เมื่อเชื่อว่าเป็นการจ่ายสินบน ผมก็ต้องยอมรับ

เงินค่าโฆษณาเกิน ๑๓๘ ล้าน ผมได้ชำระให้ อสมท.ไปครบถ้วนแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิดคดีความ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ผมไม่ทำให้ อสมท.เสียหาย แต่เมื่อมันชดใช้สิ่งที่เห็นว่าผิดไปแล้วไม่ได้ ผมก็ยอมรับ

ผมยอมรับคำพิพากษา โดยไม่เคยคิดว่าจะหลบหนี เพราะนั่นจะเท่ากับผมไม่เคารพกระบวนการของกฎหมายบ้านเมืองที่ผมเกิดและเติบโตมา

แน่นอนว่าผมย่อมกลัวการติดคุกติดตาราง แต่ชีวิตผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ได้สุขสบาย ไม่เคยลำบากตรากตรำ จนจะไปใช้ชีวิตในเรือนจำไม่ได้ หรืออยู่ลำบากไม่ได้

บางทีระหว่างที่ผมใช้ชีวิตทำงานมาร่วม ๓๐ ปี ถ้าพูดถึงความยากลำบากทางกาย อาจจะลำบากกว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำ แต่สำคัญที่ร่วม ๓๐ ปีนั้นผมมีอิสรภาพ

ร่วม ๓๐ ปี ผมไม่เคยได้นอนหลับเต็มอิ่ม ทำงานที่ผมรักตลอดทั้งวัน ไม่มีวันหยุด เพียงแต่ทุกวันที่ตื่นไปทำงาน ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมไปทำงาน ผมแค่ตื่นออกไปใช้ชีวิตของผม แม้จะยากลำบากทางกาย แต่ผมก็สุขใจในแบบของผมเสมอมา

กุมภาพันธ์ ปี ๒๕๕๙ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาผม และผมต้องหยุดทำงานที่ผมเคยทำมาทุกวัน ทั้งที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ใครไม่เป็นผมคงไม่รู้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหนกับการต้องตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตของผมอย่างที่เคย

ช่วงนั้น ผมไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดโทรทัศน์ อย่าว่าแต่รายการที่ตัวเองเคยทำ เพราะถ้าต้องเห็นสิ่งที่ผมรักและเคยทำมาตลอด มันจะหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ผมทำได้อย่างเดียวคือ พยายามลืมชีวิตที่เคยเป็นมา

สำหรับผม การต้องหยุดทำงาน เหตุเพราะคำพิพากษาของสังคม คือความทุกข์ทรมานที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะคือการห้ามผมใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การห้ามผมทำอาชีพของผม อิสรภาพในการใช้ชีวิตของผมหมดไปตั้งแต่เมื่อ ๔ ปีก่อนแล้ว

ผมติดคุกสังคมมา ๔ ปีแล้ว ตลอด ๔ ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้

วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือ ทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะราง จุดต่ำสุดของชีวิต แต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่งในที่สุดที่จะได้นับหนึ่งใหม่

ขอบคุณทุกคนที่เจอกันก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้

จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ

สรยุทธ สุทัศนะจินดา

๒๑ มกราคม ๒๕๖๓”