Home ข่าวทั่วไปรอบวัน อัยการสั่งไม่ฟ้องชัยวัฒน์กับพวกคดีฆ่ากระเหรี่ยงบิลลี่

อัยการสั่งไม่ฟ้องชัยวัฒน์กับพวกคดีฆ่ากระเหรี่ยงบิลลี่

439
0
SHARE

 

 

สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งหนังสือ 24 ม.ค.2563 ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงวันที่ 23 ม.ค. 2563 สั่งไม่ฟ้อง “นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” กับพวกรวม 4 คน ในข้อหาฆ่า  บิลลี่ – นายพอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ความว่า

 

ตามหนังสือที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 13/2562 คดีระหว่าง นางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ กับพวกรวม 2 คน ผู้กล่าวหา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวกรวม 4 คน ผู้ต้องหา ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฯลฯ ไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เพื่อพิจารณา พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณาสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว มีความเห็น

 

“สั่งไม่ฟ้อง”

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1,

นายบุญแทน บุษราคัม ผู้ต้องหาที่ 2,

นายธนเสฎฐ์ หรือ ไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 ในข้อหาต่อไปนี้

 

  1. ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดจากการที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

 

  1. ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

 

  1. ข้อหาร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น

 

  1. ข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

  1. ข้อหาร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

 

  1. ข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต

 

  1. ข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งใดโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบทรัพย์ให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น

 

ส่วนนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องทั้ง 7 ข้อหาเช่นเดียวกับ 3 คนแรก แต่ในข้อหาที่ 6 และ 7 นายกฤษณพงษ์ถูกกล่าวหาในฐานเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ไม่ใช่เจ้าพนักงาน จึงแยกออกมา

 

ในสำนวนคดีพิเศษที่ 13/2563 ที่ ดีเอสไอ ยื่นต่อสำนักงานอัยการคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหาไปทั้งหมด 8 ข้อหา ดังนั้นจึงหมายความว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกเพียงข้อหาเดียว คือ ข้อหาร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งข้อหานี้ เป็นข้อหาที่ดีเอสไอนำสำนวนการสอบสวนมาจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งนายชัยวัฒน์ และพวกอ้างว่า หลังควบคุมตัวนายพอละจีไว้เพราะมีน้ำผึ้งป่าในครอบครอง แต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว จึงถูกกล่าวหาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะไม่ส่งตัวนายพอละจีไปดำเนินคดีกับตำรวจ

 

ขั้นตอนต่อไป เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องกลับมาให้ ดีเอสไอแล้ว ก็ต้องแจ้งความเห็นอย่างเป็นทางการพร้อมเหตุผลไปยังฝ่ายผู้เสียหาย คือ น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่

 

นางมึนอ ยังมีช่องทางต่างๆ ที่สามารถทำได้ คือ

 

  1. ยื่นขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด เพื่อขอให้สั่งฟ้องคดี และกรณีที่สั่งไม่ฟ้องขอให้ชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริงที่สั่งไม่ฟ้องเป็นหนังสือ

 

  1. ยื่นขอให้ทางดีเอสไอทำความเห็นแย้งความเห็นของอัยการคดีพิเศษไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด
  2. ยื่นถวายฎีกา

 

  1. ในกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ยังไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีเอง ดังนั้นนางสาวพิณนภา ยังมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องคดีเองได้โดยตรง ตาม ป.วิอาญา มาตรา 34 เช่นเดียวกับคดีของ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่ญาติยื่นฟ้องคดีเองในภายหลัง

 

Matemnews.com 

24 มกราคม 2563