“การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 มีเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เกิดขึ้นใน 3 ระดับ ได้แก่ ขั้นแรกคือเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ขั้นที่สองคือ การเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรี หรือปรับคณะรัฐมนตรี และเป้าหมายขั้นสูงสุดคือ คาดหวังให้เปลี่ยนรัฐบาล และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี บุคคลที่จะถูกตรวจสอบจากฝ่ายค้านมากที่สุดคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากบริหารบ้านเมืองไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนเกิดความทุกข์ยาก ประเทศเจอภาวะวิกฤตหลายด้าน ทั้งสงครามการค้า ค่าเงินบาท การส่งออกชะลอตัว การรับมือกับไวรัสโควิด-19 และฝุ่น พีเอ็ม 2.5 ที่ไร้ประสิทธิภาพ และประชาชนลำบาก สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง โดยในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเติบโตเพียงร้อยละ 2.4 ถือว่าต่ำสุดในรอหลายปี และมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะติดลบในปีนี้ เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศล้มเหลว จึงเป็นเหตุผลให้นายกฯและคณะรัฐมนตรีไม่ควรอยู่ต่อไป จบการอภิปรายในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะได้ฉายา คนบาปครองเมือง เพราะคนที่ยืนอยู่บนความลำบากของคนอื่น คุณก็จะได้รับเสียงสาปแช่ง และถ้าคุณยังทนเสียงสาปแช่งได้ก็คือคนบาป ถ้าเป็นคณะก็คณะคนบาปครองเมือง เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และเป็นครั้งแรกที่เป็นการอภิปรายฯ มีช่องทางแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย โดย ส.ส.มีหน้าที่โหวตในสภา ขณะที่ประชาชนสามารถโหวตนอกสภาผ่านทางโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในประเทศไทย”
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าว 22 ก.พ.2563
matemnews.com
22 กุมภาพันธ์ 2563