วันที่ 10 มี.ค.2563 ภายหลังการซื้อกิจการ “เทสโก้โลตัส” ของ “ซีพี” ต่างมีผู้แสดงความเห็นกันเป็นจำนวนมาก ถึงการขยายกิจการ ตั้งแต่สายพานการผลิตวัตถุดิบ ไปจนถึงการป้อนเข้าถึงปากของผู้บริโภค
เพจดัง BIOTHAI ได้ตั้งข้อสงสัยว่า การควบรวมเช่นนี้ ภาครัฐ ยินยอมได้อย่างไร โดยเพจดัง ได้อธิบายว่า
คำประกาศของเทสโก้แห่งสหราชอาณาจักรว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้ชนะการประมูลกิจการเทสโก้โลตัสในประเทศไทยและมาเลเซีย ส่งผลทำให้เครือซีพีมีอิทธิพลเหนือระบบเกษตรและอาหารตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
คำประกาศเมื่อวานนี้ ทำให้สัดส่วนของเครือซีพีในเชนร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการครอบครองตลาดของเซเว่นอิเลฟเว่นเดิม 65% เพิ่มเป็น 75% เมื่อผนวกกับโลตัสเอ็กซ์เพรสซึ่งมีสัดส่วนตลาด 10% และทำให้ “โมเดิร์นเทรดอาหาร” (ซึ่งหมายถึงโมเดิร์นเทรดทั้งหมดที่มีการค้าเรื่องอาหารเป็นสัดส่วนสำคัญ เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ไม่รวมห้างสรรพสินค้า หรือโมเดิร์นเทรดที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ก่อสร้าง) ซึ่งเดิมซีพีมีสัดส่วนครอบครองตลาดประมาณ 50% อยู่แล้ว เพิ่มขึ้นอีก 25% กลายเป็น 75% เมื่อกิจการของเทสโก้โลตัสประเทศไทยถูกผนวกรวมเข้ากับซีพีออลล์
ย้อนไล่ไปดูต้นน้ำตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ อาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ จนถึงอาหารฟาสต์ฟู๊ดซึ่งเครือซีพีมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดอยู่แล้ว ระบบเกษตรและอาหารของไทยทั้งระบบแทบจะอยู่ภายใต้การครอบงำมีอิทธิพลเหนือตลาดของบรรษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้
ไม่มีที่ไหนในโลกกระมังที่ปล่อยให้บรรษัทเดียวยึดครองระบบอาหารตลอดสายได้เช่นนี้ แม้แต่ไบเออร์-มอนซานโต้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากการมีอิทธิพลในระบบเกษตรและอาหาร แต่นั่นก็เป็นแค่ต้นน้ำ ได้แก้เมล็ดพันธุ์ สารเคมี และบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องยารักษาโรค
หมดหวังแล้วจะให้รัฐบาลนี้ลุกขึ้นมาปกป้องอนาคตของเกษตรกรรายย่อย และผู้ประกอบการขนาดเล็ก
พรรคการเมืองต่างๆ จะมีพรรคไหนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องนี้ ?
เกษตรกร ผู้บริโภค วิสาหกิจขนาดเล็ก ผู้ประกอบการรายย่อย-ขนาดกลาง และกลุ่มต่างๆ ต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับกระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และกลไกของรัฐทั้งหมดที่เกี่ยวข้องให้มาอธิบายว่า คุณปล่อยให้เครือซีพีมีอิทธิพลเหนือระบบเกษตรกรรมและอาหารมากขนาดนี้ได้อย่างไร ?
ทั้งนี้ ซีพี หรือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีธุรกิจหลักคืออาหารและการเกษตรผ่านทางบริษัทลูกเจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF ซึ่งมีรายรับ 116.5 พันล้านบาท และกำไร 6.747 พันล้านบาท (ข้อมูลปี 2005) นอกจากธุรกิจการเกษตรแล้ว เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังทำธุรกิจอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ธุรกิจค้าปลีกร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ,ธุรกิจค้าส่งห้างแมคโคร , ธุรกิจโทรคมนาคมในบริษัททรู คอร์ปปอเรชั่น เป็นต้น
ที่มา FB: ไบโอไทย
