Home ข่าวทั่วไปรอบวัน สำนักพุทธฯ พร้อมทุ่มงบฯ ตรวจเมรุ เจอพัง-ซ่อม!

สำนักพุทธฯ พร้อมทุ่มงบฯ ตรวจเมรุ เจอพัง-ซ่อม!

123
0
SHARE

“อนุชา” สั่งสำนักพุทธฯ ตรวจสอบเมรุทุกวัด หากพบเสียหายให้งบสนับสนุนซ่อมแซมพร้อมใช้งาน หลังพบเมรุแตก พระยืนยันสร้างมานานมีรอยร้าวเดิมอยู่แล้ว ยังไม่ได้ซ่อมแซม ช่วงที่ผ่านมาเผาศพโควิดมากขึ้น รวมทั้งเจอพายุฝน จึงทำให้เมรุพังหล่น ขณะนี้วัดกำลังเร่งสร้างเพื่อให้ทันใช้ช่วงเดือน ส.ค.

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยต่อกรณีที่มีกระแสสื่อโซเชียลมีเดียพูดถึงการทุบทำลายเมรุที่วัดบางน้ำชน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เนื่องจากเตาเผาศพชำรุดเสื่อมโทรม และเป็นอันตรายต่อประชาชน ซึ่งเป็นผลมาจากรองรับการเผาศพผู้ติดเชื้อโควิด-19  จึงได้สั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการให้ความช่วยเหลือแล้ว

โดยเจ้าหน้าที่กลุ่มคุ้มครองพระพุทธศนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ประสานไปยังพระครูภัทราวรานุสิฐ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางน้ำชน ทราบว่า เหตุเมรุระเบิดได้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งในภาพดังกล่าวที่สื่อนำเสนอไปเป็นการทำลายเมรุ เพื่อทำลายและจัดสร้างขึ้นมาใหม่ โดยทางวัดได้เจ้าภาพหลักในการจัดสร้างเมรุ ทั้งนี้ วัดได้เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมบริจาคตามศรัทธา ซึ่งการร่วมบุญสร้างเมรุนั้นเป็นสิ่งที่ดีในการเตือนสติตามคำสอน เรื่องของ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และได้รับงบประมาณจากเงินบริจาคเพียงพอในการจัดสร้าง จึงไม่ได้แจ้งไปขอความช่วยเหลือไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

พระครูภัทราวรานุสิฐ เปิดเผยว่า เมรุที่ใช้อยู่มีรอยร้าวเดิมอยู่แล้ว ยังไม่ได้ซ่อมแซม ขณะที่เตาเผาสร้างมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่ปี 2528 เตามีลักษณะเก่าและฐานชำรุด จนกระทั่งช่วงที่ผ่านมามีการเผาศพโควิดเยอะขึ้น ประกอบกับพายุฝน สร้างความเสียหายให้เมรุพังหล่น จึงได้หารือวิศวกร ได้รับคำแนะนำให้ทุบทำลายและสร้างขึ้นใหม่ดังที่ปรากฎในภาพข่าว ทั้งนี้ ทางวัดกำลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการก่อสร้าง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทันในช่วงเดือนสิงหาคมนี้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำชับ พศ. ตรวจสอบไปยังวัดต่าง ๆ หากวัดไหนต้องการงบประมาณในการซ่อมแซมเมรุ ขอให้เร่งสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซมก่อสร้างเมรุให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ยืนยันวัดและพระสงฆ์เป็นองค์กรทางศาสนา ทำงานด้วยจิตอาสา เป็นที่พึ่งพิงของประชาชนในยามตกทุกข์ได้ยาก