Home ต่างประเทศ กะเทาะเปลือก ‘ซูโม่’ …นักรบอ้วน ผู้อุทิศชีวิตเพื่อการต่อสู้ !

กะเทาะเปลือก ‘ซูโม่’ …นักรบอ้วน ผู้อุทิศชีวิตเพื่อการต่อสู้ !

2815
0
SHARE

‘ซูโม่’ กีฬาของลูกผู้ชายแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใครหลายคนมองว่าเป็นกีฬาโบราณและเหมาะกับคนที่มีเพียงพละกำลังกับไขมันเท่านั้นที่เล่นกัน แถมการจะขึ้นเป็นนักกีฬาซูโม่นั้นดูไม่ใช้ความพยายามอะไรมาก แค่ยัดๆๆๆ อาหารจนอ้วนตุ๊บ คุณก็ก้าวเข้าสู่สังเวียน ‘คนอ้วนฟัดกัน’ ได้อย่างสบายๆ

แต่ทั้งหมดที่คุณคิด…คือสิ่งผิด ! เพราะกว่าจะเป็นนักซูโม่ได้นั้น ไม่ใช่แค่การสะสมไขมันจากอาหาร แต่เป็นจิตวิญญาณที่ต้องแข็งแกร่งปานเหล็กกล้า !

นักซูโม่ หรือ ที่เรียกว่า ‘ริกิชิ’ คือชายร่างอ้วนใหญ่สวมใส่ผ้าเตี่ยว ผูกผมหางม้าตั้งสูงราวซามูไรโบราณ พวกเขาใช้เวลา 3 ชั่วโมงช่วงเช้าฝึกฝนอย่างหนักหน่วงที่ ‘โทโมซึนะ’ โรงฝึกโบราณที่ใช้เป็นที่ฟูมฟักนักรบร่างตุ้ยนุ้ยมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 การฝึกนั้นแสนหฤโหด เหล่านักซูโม่จะต้องออกกำลังอย่างหนัก 1 ชั่วโมง ก่อนใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการซ้อมต่อสู้แบบเสมือนจริง

นอกจากนี้ การใช้ชีวิตนอกสนามซ้อมของพวกเขายังทรหดไม่แพ้กัน เพราะนักซูโม่จำเป็นต้องปั้นร่างกายให้อ้วน ใหญ่ แต่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการปะทะจากคู่ต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรับประทานอาหารถึงวันละ 8,000 แคลอรี่ และต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์เท่านั้น !

ชานโกะ นาเบะ หม้อไฟสุดฮิตในหมู่นักซูโม่ อุดมด้วยผักและอกไก่

หลังการฝึกซ้อม แน่นอนว่านักกีฬาอาชีพย่อมมีแฟนคลับ นักรบร่างอ้วนก็เช่นกัน พวกเขาต้องออกทำกิจกรรมตามที่สมาคมซูโม่มอบหมาย ตั้งแต่แจกลายเซ็นแฟนคลับสาวๆ ไปจนถึงการเอ็นเตอร์เทนเหล่าแฟนคลับรุ่นเยาว์

แม้แต่การพักผ่อน ก็ยังมิวายต้องเจอกับอุปสรรค เพราะร่างกายที่อ้วนใหญ่เกินมาตรฐาน ทำให้พวกเขาต้องนอนพร้อมๆกับหน้ากากออกซิเจนครอบใบหน้า ป้องกันปัญหาระหว่างการนอนหลับ

ด้วยทั้งหมดนี้เอง กีฬาประจำชาติญี่ปุ่นค่อยๆกลายเป็นกีฬาที่คนญี่ปุ่นเข็ดขยาด จนทำให้ชาวต่างชาติ (โดยเฉพาะมองโกเลีย) เข้ายึดครองวงการซูโม่ จนเรียกได้ว่าตอนนี้ ราชาแห่งซูโม่ (โยโกสุนะ) มีแต่ชาวต่างชาติล้วนๆ

โทโมซุนะ โอยาโกโตะ นักซูโม่สัญชาติมองโกเลีย ที่มาสร้างชื่อในวงการซูโม่ญี่ปุ่น

จนเมื่อปีนี้นี่เองที่ ‘คิเซโนะซาโตะ’ ชาวญี่ปุ่น ถึงได้ผงาดครองบัลลังก์ซูโม่เป็นผลสำเร็จ

คิเซะโนะซาโตะ ชายผู้กอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวญี่ปุ่นในสังเวียนซูโม่

คุณคิดว่ากีฬาซูโม่ยังง่ายอีกมั้ยละครับ ??

ขอบคุณภาพและข่าวจาก the sun