Home ข่าวทั่วไปรอบวัน พลเอกประยุทธ์บอกเด็กๆว่า “เราคือการเมือง”

พลเอกประยุทธ์บอกเด็กๆว่า “เราคือการเมือง”

711
0
SHARE

 

 

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้นำเด็กและเยาวชนไทยทีไดรับรางวัลจากการแข่งขันต่างๆทั่วโลก เข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันโกมี่จะมาถึงในวันศุกร์ 12 ม.ค.2561  ที่ห้องโถงตึกสันติไมตรี หลังนอก เมื่อตอนเช้า 8 ม.ค.2561 พลเอกประยุทธืกล่าวแก่เด็กๆความว่า

 

“การพบกับเยาวชนในวันนี้ทำให้ผมมีความสุข   ก่อนที่จะถึงวันเด็กในวันเสาร์นี้ เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยสิ่งดีๆ ทุกวันมีปัญหาที่ต้องแก้ตลอดเวลา สำหรับรางวัลอันน่าภูมิใจ เกิดขึ้นจากพวกเรา ความขยันมั่นเพียร ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง   ผมเคยพูดไว้ว่าประเทศไทยต้องการการพัฒนาไม่ใช่การศึกษาอย่างเดียว  แต่ต้องเรียนรู้ในกิจกรรมไปด้วย แต่สิ่งสำคัญเราจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกโลกาภิวัฒน์ได้อย่างไรในเมื่อสังคมปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รางวัลในวันนี้ถือเป็นเกียรติประวัติที่งดงามให้แก่วงตระกูล ซึ่งสิ่งต่างๆนี้เริ่มตั้งแต่เป็นเยาวชน และวันหน้าเป็นผ็ใหญ่ที่ดีในอนาคต ให้ทุกคนภาคภูมิใจและเป็นแบบอย่างให้เด็กคนอื่นๆ  ในส่วนของรางวัลขอให้กระทรวงศึกษาธิการไปตรวจสอบว่าได้จัดให้เยาวชนครบหรือไม่ เพราะผมอยากให้จัดหาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ครบทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มที่เรียนดีแต่ด้อยโอกาส เราต้องนำพาทุกกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็งในวันข้างหน้า สังคมของเรายังมีปัญหาอยู่มาก   ต้องเริ่มจากการเรียนรู้ตั้งแต่เด็กจนโตไปสู่การทำงานเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัว   จะต้องพัฒนาตลอดเวลา นอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนจะต้องเรียนเท่าทันการเปลี่ยนแปลง เราอยากเปลี่ยนแปลงประเทศของเราช้าหรือเร็วเกินไป จะต้องมีความสมดุลย์เหมาะสมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเยาวชนวันนี้ที่ได้รับรางวัลถือว่ามีความโดดเด่น ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ เห็นได้จากบางกลุ่มที่ส่งไปแข่งขันเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับรางวัลจากการแกะสลักน้ำแข็ง ซึ่งเป็นเยาวชนมาก่อนและวันนี้ได้รับรางวัลในระดับที่สูงขึ้น ได้รับรางวัลที่จีน 9 ปี ติดต่อกัน เป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงอย่างมาก แต่ก็จะต้องติดตามเด็กพวกนี้ว่ากลับมาแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป นำมาพัฒนาใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้าทั้งในด้านธุรกิจและการดำรงชีพ ต้องดูถึงชีวิตความก้าวหน้า ให้ดูว่าคนเหล่านี้อยู่ที่ไหนมีความก้าวหน้าในชีวิตเพียงใดหรือแย่ลงกว่าเดิม  การเข้าสู่การเมืองเราต้องทำใหม่ทั้งหมด เอาคนที่มีศักยภาพเข้ามา   เป็นคนรุ่นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยในโลกยุคศตวรรษที่ 21  เราต้องมีการพัฒนาในทุกๆด้าน อย่าไปรังเกียจเรื่องการเมือง เราคือการเมือง ทุกคนมีส่วนร่วมในการเมืองอยู่แล้ว ในเรื่องของการเลืกตั้งผมอยากได้รัฐบาลที่มีความเข้มแข็ง มีธรรมาภิบาล นักการเมืองดีๆก็มีอยู่  แต่เราจำเป็นที่จะต้องสร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ รุ่นเก่าก็อายุมากแล้วบ้างแต่ก็มีประสบการณ์ ต้องเข้าใจในประเด็นเหล่านี้  ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  รัฐบาลไทยได้ไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องดำหนดเช่นนี้เพราะการพัฒนาต้องเริ่มตั้งแต่เด็กจนโต รัฐบาลจึงต้องคิดเช่นนี้ การเติบโตของเด็กตั้งแต่เล็กจนจบการศึกษาใช้เวลา 20 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเรียนรู้ ถ้าเรียนในสิ่งที่ดี ถูกต้อง มีข้อมูลที่ชัดเจนเราก็จะมีทรัพยากรมนุษย์ที่เข้มแข็ง เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ อาชีพ รายได้ และการพัฒนาในอนาคต เราต้องมีภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกัน วันนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริมการศึกษาให้กลับไปพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง ทั้งระบบการศึกษา เขตการศึกษาทั้งหมดรองรับเยาวชนทั้งหมดไม่ต้องเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ต้องดูว่าเราต้องพัฒนาคนอย่างไรให้เกิดความอบอุ่น อยากฝากให้ทำงานในพื้นที่ของตนเอง ฝากกระทรวงศึกษาธิการให้ช่วยดูแลการศึกษาท้องถิ่นให้มีมาตรฐานและมีชื่อเสียง ขณะที่ครอบครัวก็ต้องหาเวลาพาครอบครัวไปเล่นกีฬา เดินเล่น ทำกิจกรรมให้เกิดสังคมที่ปลอดภัยและอบอุ่น เด็กต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่เช่นนั้นเราจะอยู่ในสังคมได้อย่างไร ต้องเรียนรู้ว่าต่างประเทศมีการพัฒนาอย่างไร ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งจะสูงไปเรื่อยๆเพราะความแตกต่างยังมีอยู่ ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือความแตกต่างด้านสติปัญญา เราต้องเรียนู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม   เช่นการไหว้จะต้องไหว้ให้สวยงาม ไหว้ผู้ใหญ่ ไหว้ให้สวยงาม ทำอย่างไร ปัจจุบันทำผิดกันหมด ไหว้ผู้ใหญ่ต้องก้มศรีษะแล้วพนมมือ ไม่ใช่ยกมือไหว้เฉย ขอให้กลับไปไหว้พ่อ แม่ให้ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้บางครั้งก็ลืมกันไป บางคนอาวุโสมากๆ กลับไปยกมือไหว้เด็กเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ผมเห็นจากสื่อและเว็บ บางครั้งมันไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้ สังคมต้องมีส่วนในการเรียนู้ มีควรสร้างทัศนคติที่ผิดๆ มีระเบียบวินัย อ่อนน้อมถ่อมตน มีความรู้คู่คุณธรรม  คุณธรรมคืออะไรก็ควรทำอะไรไม่ดีก็ไม่ควรทำซึ่งสิ่งที่ดีต้องเกิดประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว และคนอื่น อะไรที่ไม่ดีคือการสร้างผลกระทบให้กับคนอื่น เราจึงต้องรักษาความเป็นไทย มีเหตุมีผล รักสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ ขอให้ทุกคนภูมิใจ ที่เกิดมาเป็นคนไทยประพฤติตนให้เป็นคนดี หลายคนถามว่าคนดีคือคนอะไร คนดีก็คือสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้  ขอให้ทุกคนเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดร็วและใช้ความรุนแรงมากกว่าเรา ต้องหาเหตุผล ความเป็นมาของประเทศ ใครเป็นผู้รักษาจนปัจจุบันเป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในอนาคตอย่างรวดเร็ว คำขวัญที่ตนให้ รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรเทคโนโลยี ต้องรู้คิดทำในสิ่งที่ถูกต้อง รู้เท่าทันเทคโนโลยี เท่าทันโลก ปัจจุบันใช้แต่เทคโนโลยี อีกหน่อยก็คิดไม่เป็น สอบถามครูกูเกิ้ล ครูยูทูป  บ้าง จนครูปัจจุบันไม่ได้รับความเชื่อถือ วันนี้ต้องให้ครูปรับในส่วนนี้ ต้องเป็นทั้งครูและนักเรียนไปพร้อมๆกัน รู้จักใช้เทคโนโลยีในการสอน เป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสองทาง บางคนตื่นมาก็คว้าโทรศัพท์ก่อน ก็ขอใช้กันพอสมควร  เพราะห้ามใครไม่ได้  แต่ต้องรู้ว่าเราจะต้องคิดหรือทำอะไรก่อน อย่างผมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็น  ผบ.ทบ. เป็นทหารมาตั้งแต่เด็กๆ ก็คนละแบบกัน  เป็นคนละหน้าที่ ตามห้วงระยะเวลา  อย่างตอนที่ผมเป็นผู้หมวดก็ดูแลปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร ในการทำงานมีลูกน้องเพียง 40  กว่าคน เป็นผู้กองก็ร้อยกว่า เป็นผู้พันก็พันกว่าคน เป็นผู้การก็ 4 พันกว่าคน พอเป็นแม่ทัพก็มีลูกน้องเยอะมากขึ้นเป็นหมื่น คน  พอเป็น  ผบ.ทบ.ก็มีลูกน้องสองแสนกว่าคน  ความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆเราก็ต้องรู้จักคิด เราเป็นเด็กหน้าที่ของเราคืออะไร  เป็นผู้ใหญ่แล้วมีงานทำก็ต้องคิดทั้งหมด อาจจะเริ่มจากครอบครัว  ทำให้พ่อแม่มีความสุข  หน้าที่ลูกคือเรียนหนังสือให้ดีให้ผ่าน  โตขึ้นมีงานทำสังคมยอมรับ ส่วนเรื่องอื่นคือส่วนประกอบ จากครอบครัวไปเป็นประเทศว่าเราจะมีส่วนร่วมการพัฒนาประเทศอย่างไร ไปสู่กระบวนการในการเป็นประชาธิปไตย   แต่ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ต้องสำคัญไปพร้อมๆกัน เพราะเราคือคนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย ขอให้ทุกคนภูมิใจ   การสื่อสารวันนี้ไร้ขีดจำกัด   ไม่กี่วินาทีเรื่องดีๆพูดไปเดี๋ยวก็ลืม   เรื่องไม่ดีเดี๋ยวเดียวก็ไปต่อ   และการวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ เป็นคนละเรื่อง วันนี้โลกของเราอยู่ด้วยกฎหมาย หลายเรื่องเป็นเรื่องกฎหมาย ความเป็นธรรมกับความเท่าเทียมเป็นคนละส่วนกัน ความเท่าเทียมคือ ความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาส ความเป็นธรรมคือโอกาสที่จะรับการดูแล  ขอให้เข้าใจ ไม่อยากให้ไปฟังการพูดต่างๆที่บางครั้งทำให้เกิดปัญหา   ผมคาดหวังให้คนไทยรู้กฎหมาย ไม่รู้ไม่ได้  เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนั้น กฎหมายมีทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก กฎกระทรวง ผมได้มอบให้กระทรวงยุติธรรมทำเป็นอินโฟกราฟฟิก  ทุกสถาบันการศึกษาต้องทำในรูปแบบนี้   และนำไปสอนด้วย ในรายละเอียดจะมีการชี้แจงในทุกๆขั้นตอน ถ้าไม่เรียนรู้สังคมก็จะเกิดความปั่นป่วน วุ่นวาย นอกจากนี้ที่ให้แยกออกมา  คือ   รัฐธรรมนูญ   ที่เขียนเรื่องของประชาธิปไตย   และการชุมนุมต่างๆ   มีกฎหมายลูกอีกหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง ถ้าทำอันใหญ่อย่างเดียวทำได้หมด สิทธิเสรีภาพไม่มีใครห้าม แต่ข้างล่างมีกฎหมายซ้อนอยู่  ผมจะทำสำเนาให้กระทรวงศึกษาไปจัดทำเป็นวิชาเสริม ถ้าเราไม่รู้กฎหมายจะวุ่นไปหมดแล้วจะเกิดปัญหาว่ามีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะถ้าทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็จบ ส่วนเรื่องการสู้คดีก็ว่าไปตามกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ทุกคต้องเข้าใจต้องเรียนรู้ตั้งแต่เด็กและเยาวชน  กฎหมายมุ่งหวังให้สังคมสงบ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายใคร ใครก็ตามที่ไปพูดเรื่องเหล่านี้ขอให้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย นายกฯ ไม่ได้คิดใช้กฎหมายทำร้ายใคร  ถ้าทำอย่างนั้นนายกฯ คงไม่ต้องบอกใครว่าทำกฎหมายอะไร ก็ใช้อย่างเดียว ทุกคนก็ต้องระมัดระวังในการปฎิบัติและการแสดงออกมา เพราะมีกฎหมายอยู่ทุกตัว ไม่เช่นนั้นวันข้างหน้าก็เกิดอีกทุกเรื่อง”

 

จากนั้นตัวแทนเยาวชน ได้ขึ้นกล่วคำอวยพรให้พลเอกประยุทธ์  ซึ่งก็ได้กล่าวตอบว่า

 

“ขอบคุณ   เด็กพูดไม่มีเสแสร้ง เป็นการพูดจากใจ ไม่มีบท แต่วันนี้บางคนพูดกันจนวุ่นวาย สับสนอลม่านไปหมด”

 

เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์สาธิตวิธีการไหว้ผู้ใหญ่ที่ถูกต้อง   แล้วเดินชมของขวัญที่เด็กๆ นำมามอบให้

 

จากนั้นพลเอกประยุทธ์หันไปสั่งเจ้าหน้าที่ให้ยกสแตนดี้ของตัวเอง หรือ รูปถ่ายนายกฯเท่าตัวจริงแปะติดแผ่นกระดาษมีขาตั้ง  มาตั้งที่หน้าไมค์โครโฟน กล่าวว่า

 

“ถ้าใครจะถ่ายรูป ใครจะสอบถามปัญหาการเมือง ความขัดแย้งถามกับไอ้คนนี้นะ”

 

 

แล้วเดินขึ้นตึกไทย  ยกมือบ๊ายบาย และแสดงสัญลักษณ์”ไอเลิฟยู” ทำให้คณะผู้ปกครองเด็กๆ  ที่อดไดเถ่ายรูปกับพลเอกประยุทธ์ เปลี่ยนไปเป็นถ่ายรูปกับสแตนดี้

 

 

matemnews.com  8 มกราคม 2561