ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 13.30 น.วันที่ 21 ก.พ.2561 ศาลออกนั่งบังลัค์ อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “นายธเนศร์ คำชุม” กับพวก รวม 85 คน ซเป็นกลุ่มนักรบศรีวิชัยของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490, พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2545 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2535
โจทก์ฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค. 2551 จำเลย 85 คน ร่วมกันประชุมวางแผนนัดแนะระดมพลจากสะพานมัฆวานรังสรรค์และสถานที่อื่น ตกลงกันไปเพื่อกระทำความผิดฐานร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงาน สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค. 2551 จำเลยทั้งหมดพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุน มีดดาบ มีดพก ร่วมกันไปทำลายทรัพย์สินและบุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันทำลายทรัพย์สินกว่า 15 รายการ รวมความเสียหายกว่า 6 แสนบาท โดยเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้หยุดการกระทำจำเลยทั้งหมดก็ไม่หยุด อีกทั้งจำเลยยังร่วมข่มขืนใจ น.ส.ตวงพร อัศววิไล และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และพนักงานคนอื่นๆ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้จัดรายการออกอากาศ และขับไล่ให้ออกจากที่สำนักงาน
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2553 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน พ.ศ. 2490 ความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และฐานซ่องโจร รวมจำคุก 1 ปี 18 เดือน
จำเลยที่ 2 มีความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯและซ่องโจร จำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท
ส่วนจำเลยอื่นได้รับโทษตามความผิดฐานบุกรุก ฐานซ่องโจรลดหลั่นกันได้แก่ จำเลยที่ 3-29, 31-38, 40, 41, 43-46, 48-79 และ 82 จำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยที่ 39 และ 80 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท
จำเลยที่ 30, 47 และ 81 มีกำหนด 12 เดือน จำเลยที่ 83-85 มีกำหนด 8 เดือน จำเลยที่ 24 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน
ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 30, 47, 81, 83-85 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 30, 47 และ 81 อายุยังไม่เกิน 20 ปี จำเลยที่ 83-85 ยังเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยดังกล่าวไว้มีกำหนด 2 ปี ให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ข้อหา และคำร้องอื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2557 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1-41, 43-85 มีความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและข่มขู่จะใช้กำลังประทุษร้าย ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 30, 47 และ 81 ขณะก่อเหตุอายุไม่เกิน 20 ปี ลงโทษจำคุก 8 เดือน และจำเลยที่ 83-85 ขณะเกิดเหตุอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้จำคุกคนละ 6 เดือน และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ และมีเครื่องวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตลงโทษจำคุก 4 เดือน จำเลยที่ 1-41, 43-85 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ยกเว้นจำเลยที่ 1 รวมโทษแล้วคงจำคุกไว้ 8 เดือน จำเลยที่ 30, 47 และ 81 ลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุก 6 เดือน และจำเลยที่ 83-85 ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน โดยจำเลยที่ 30, 47, 81, 83-85 ขณะกระทำผิดเป็นเยาวชนจึงให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ยกฟ้องฐานซ่องโจร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับคดีนี้จำเลยได้รับการประกันตัว หลังยื่นหลักทรัพย์วงเงินคนละ 200,000 บาท
ต่อมา จำเลยที่ 1 -29 ,31-41,43-46,48-80 และ 82 ยื่นฎีกา
โดยวันนี้จำเลยจำนวน 79 คน ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาลตามนัด ศาลออกนั่งบัลลังก์ตรวจสอบรายชื่อจำเลยที่มาศาลแล้ว ปรากฏว่า จำเลยที่ 31, 37, 59, 78 และ 84 ไม่ได้มาศาล ส่วนจำเลยที่ 42 หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา
ศาลตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิเคราะห์ว่า จำเลยที่ 1-29, 31-41, 43-46, 48-80 และ 82 ยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาให้ยกคำร้อง คำพิพากษาจึงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คงจำคุกนายธเนศร์ คำชุม จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 เดือน,
นายเมธี อู่ทอง จำเลยที่ 24 จำคุก 8 เดือน,
จำเลยที่ 2-23, 25-29, 31-41, 43- 46, 48-80, 82 จำคุกคนละ 6 เดือน
และเมื่อรวมโทษปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นายชนินทร์ อินทร์พรหม จำเลยที่ 2, นายจรัส วีระพันธ์ จำเลยที่ 39 กับนายธนพล แก้วเชิด ที่ 80 จึงเป็นจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับ 500 บาท ส่วนนายอัมรินทร์ ยี่เฮง จำเลยที่ 48 ให้บวกโทษคดีอื่นกับคดีนี้จึงเป็นจำคุก 9 เดือน และนายประดิษฐ์ คงช่วย จำเลยที่ 70 ก็เช่นกัน จึงจำคุกทั้งสิ้น 8 เดือน
สำหรับจำเลยที่ 30, 47, 81 จำคุกคนละ 4 เดือน และจำเลยที่ 83-85 คงจำคุกคนละ 3 เดือน ขณะกระทำผิดยังเป็นเยาวชน จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ ส่วนความผิดฐานซ่องโจรนั้นให้ยกฟ้อง
หลังฟังคำพิพากษาเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวจำเลยดังกล่าวไปรับโทษที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ศาลออกหมายจับจำเลยที่ 31, 37, 59, 78 และ 84 จำนวน 5 คน ที่ไม่มาฟังคำพิพากษาในวันนี้ เพื่อให้มารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่ไป
matemnews.com 21 กุมภาพันธ์ 2561