เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวหลังการประชุมครม.ที่โรงแรมดุสิตธานี ชะอำ เพชรบุรี เมื่อบ่ายวันที่ 6 มีนาคม 2561 ประเด็นต่างๆ ประกอบด้วย
นายกรัฐมนตรี พึงพอใจแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 35 เดือน
วันนี้ (6 มีนาคม 2561) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณหน้าห้องประชุมรอยัล ดุสิต บอลรูม เอ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อำเภอชะอำ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือนมกราคม 2561 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งโดยภาพรวมดีขึ้นในทุกด้าน และต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ส่วนทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดการณ์จีดีพี ประจำปี 2561 ว่าจะขยายตัว 3.8 – 4.0 % ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การขยายตัวของการบริโภค นอกจากนี้สมาคมขนส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ได้คาดการณ์ว่า การส่งออกของประเทศไทยในปี 2561 จะขยายตัวได้ 5.5% ส่วนด้านธุรกิจออนไลน์ แนวโน้มน่าจะขยายตัวได้ถึง 22 %
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงในขณะนี้ อันเป็นผลมาจากตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์สูงกว่า 1,800 กว่าจุด ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์เฉพาะผู้เล่นหุ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีผลประกอบการที่ดี และส่งผลดีต่อพนักงานบริษัททำให้มีรายได้และโบนัสเพิ่มมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำอีกว่า โดยส่วนตัวแล้วมีความพึงพอใจในแนวโน้มเศรษฐกิจและค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2561 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยรัฐบาลมีความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆด้านประกอบกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงดูแลและให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรและกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย จึงได้นำโครงการไทยนิยมยั่งยืนไปส่งเสริมและพัฒนาด้านการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนมากขึ้น
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจการแก้ปัญหา IUU ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (6 มีนาคม 2561) เวลา 12.35 น. ณ บริเวณหน้าห้องประชุมรอยัล ดุสิต บอลรูม เอ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อำเภอชะอำ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการแก้ปัญหา IUU ของประเทศไทยว่า
นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจในระดับหนึ่ง เนื่องจากปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนและมีมาอย่างยาวนานจากความเคยชินของข้าราชการ ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง แรงงานไทย รวมทั้งแรงงานต่างด้าว ดังนั้น รัฐบาลจึงได้พยายามดำเนินการ แก้ไขโดยการออกมาตรการทางกฎหมายด้านต่างๆ เพื่อการตรวจสอบ ควบคุม แก้ไขและอำนวยความสะดวก ขณะนี้ได้เร่งรัดให้ดำเนินการดพิสูจน์อัตลักษณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากมีผลกระทบต่อการก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่น ๆ ตามมา เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาผู้กระทำความผิดในคดีอาญา ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลความปลอดภัยของคนทั้งประเทศ และในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลด้านการประกันสุขภาพของแรงงานต่างด้าว ซึ่งนับเป็นแรงงานสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศไม่แตกต่างกับแรงงานไทย ส่วนแรงงานไทยรัฐบาลมีแนวทางการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยจัดให้มีการฝึกอบรมหรือพัฒนาเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในระดับหัวหน้างานที่มีคุณภาพ หรือเป็นเจ้าของกิจการได้ในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาโดยบูรณาการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อการรักษาคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลให้ยั่งยืนต่อไป
………………………………………
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
โฆษกรัฐบาลเผย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอสนับสนุนงบประมาณงบกลาง ปี 2561 จำนวน 5,186.13 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
วันนี้ (6 มี.ค.61) เวลา 12.55 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอสนับสนุนงบประมาณงบกลาง ปี 2561 จำนวน 5,186.13 ล้านบาท โดยงบประมาณดังกล่าวที่กระทรวงสาธารณสุขขอสนับสนุนนั้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับดูแลด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมางบประมาณที่ได้รับสนบสนุนไม่เพียงพอ ทั้งในส่วนของงบบริการผู้ป่วยใน และค่าตอบแทนด้านบุคลากรสาธารณสุขของหน่วยบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะในชนบทและพื้นที่ห่างไกล
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนง สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน ให้ตระหนักถึงหน้าที่ที่จะร่วมกันรับผิดชอบและแบ่งเบาภาระจากการใช้จ่ายงบประมาณสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวอย่างไร เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การจัดเก็บรายได้จากภาษีของรัฐไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณสำหรับการดูแลด้วยเช่นกัน จึงขอให้ประชาชนทุกคนได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนเองในการร่วมกันรับผิดชอบ และแบ่งเบาภาระของชาติโดยการเสียภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อนำเงินที่ได้มาสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวและพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ แต่ยืนยันว่าขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะขึ้นภาษีแต่ละประเภทแต่อย่างใด
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
matemnews.com 6 มีนาคม 2561