เมื่อตอนเช้า 18 ต.ค.2561 องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์รวม 9 คน ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้พิจารณาอุทธรณ์ โดยมี นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกา เป็นเจ้าของสำนวน ออกนั่งบัลลังค์ อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อม.27/2560 ที่ “นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อายุ 65 ปี อดีตปลัดคมนาคม ระหว่างปี 2552-2554 ผู้คัดค้าน ยื่นอุทธรณ์ผลคำพิพากษาองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 9 คนที่มี นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลาย เป็นเจ้าของสำนวน มีมติเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2560 ที่ให้จำคุก นายสุพจน์ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงกรณีพ้นจากตำแหน่ง รวม 5 กระทงๆ ละ 2 เดือน จำคุกทั้งสิ้น 10 เดือน และมีคำสั่งห้าม “นายสุพจน์” ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเวลา 5 ปีนับจากวันที่พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมวันที่ 18 พ.ค.2555 ด้วย
คดีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ร้อง ยื่นให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลังจากเมื่อปี 2555 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ เกี่ยวกับเงินจำนวน 17,553,000 บาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม. รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,473,000 บาท
เป็นกรณีสืบเนื่องจากหลังเกิดเหตุ คนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.2554 ผู้ที่ร่วมทำผิดคดีอาญาได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท โดยนายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ และรถโฟลค์สวาเกน (Volk Swagen) ทะเบียน ฮต 8822 กทม.ได้
ขณะที่ “นายสุพจน์” ได้ประกันตัวไปในชั้นอุทธรณ์ ด้วยหลักทรัพย์ที่ศาลตีราคาประกัน 2 ล้านบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
โดย “องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน” พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่าตามกฎหมายป.ป.ช. พ.ศ.2542 ต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบนั้น เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเสียเองจึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน
และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี
ให้ออกหมายขังผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุด และให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน
หลังฟังคำพิพากษาแล้ว ครอบครัว และญาติที่มาให้กำลังใจ ต่างร่ำไห้เข้าไปกอดนายสุพจน์ที่สีหน้าเศร้า น้ำตาไหล ก่อนถอดสิ่งของมีค่ามอบให้ครอบครัว แล้วเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ควบคุมตัวนายสุพจน์ ขึ้นรถเรือนจำไปควบคุมต่อที่เรือนจำ
matemnews.com
18 ตุลาคม 2561