Home ไลฟ์สไตล์ By TipLife หมู่บ้านชนเผ่าเหมียว หนึ่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

หมู่บ้านชนเผ่าเหมียว หนึ่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

1646
0
SHARE

การเดินทางในช่วงพักผ่อนของคุณๆ ในเมืองจีนที่หลายๆ คนเคยไปมาบ้างแล้ว แต่นี่เราพาไปพบกับ “ชาวเหมียว” (หรือชาวแม้ว) ชนเผ่าพื้นบ้านของประเทศจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การเดินทางพักผ่อนนี้เล่าต่อแบบไม่รอช้าเราเริ่มต้นเดินทางหลังจากลงเครื่องบินที่สนามบินหนานหนิง ศูนย์กลางการปกครองของเขตปกครองตนเองของมณฑลกวางสีจ้วง ไปต่อรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากสถานีหนานหนิงไปยังลงสถานีกุ้ยหยางเมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจวอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน จำไม่ได้ว่าผ่านกี่สถานีแต่รวมระยะเวลาแล้ว 4-5 ชั่วโมงในการเดินทาง(คิดระยะทางก็ประมาณกรุงเทพฯไปเชียงใหม่อะไรแบบนั้น) ต้องบอกว่าทัศนียภาพสองฝั่งที่รถไฟฟ้าความเร็วสูงวิ่งผ่านนั้นสวยราวภาพหวาดวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 250 – 300กิโลเมตรต่อชั่วโมง หมุดลอดภูเขาใหญ่มหึมาสองลูกใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีกดชัตเตอร์ถ่ายรูปแทบไม่ทัน

จากนั้นก็ต่อรถบัสเข้าไปยังหมู่บ้านเหมียวถึงในตัวหมู่บ้านก็ราวๆทุ่มเศษๆ ก็มืดพอดีในใจคิดภาพมโนในหัวว่าคงต้องลำบากมากๆ แน่เลยจะกินจะอยู่จะเข้าห้องน้ำยังไงเพราะภาพจำเมืองจีนเรื่องห้องน้ำก็หลายคนคงทราบ แต่พอไปถึงภาพที่คิดมาแต่แรกมันกลับไม่ใช่เลยรัฐบาลของประเทศจีนเขาจัดการระบบบริการการท่องเที่ยวใช้คำว่าดีเยี่ยมสิ่งหนึ่งที่เห็นคือการที่เราจะก้าวเข้าไปเที่ยวในหมู่บ้านนั้นก็เสียค่าเข้าชมมีตั๋วมีบัตรผ่านเข้าไปรถส่วนตัวหรือรถทัวร์จอดไว้ลานด้านนอกและต่อรถเมล์ลักษณะคล้ายกับรถเหลืองบ้านเราเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง(รถใหม่สะอาดกว่าบ้านเรานะ)ภาพความลำบากได้ทลายลงสิ้นเชิงไปถึงช่วงค่ำไฟที่ประดับตกแต่งสวยเหมือนในหนังเลยนำสัมภาระไปเก็บยังที่พัก โอ้…ที่พักเป็นโรงแรมอย่างดีเลยในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างมองลอดหน้าต่างออกไปเหมือนเราไปพักในโรงเตี้ยมอะไรอย่างนั้น

ไม่ช้าทีมงานตามเราไปทานข้าวบอกเพียงว่าเราเป็นแขกคนสำคัญที่เดินทางมายังหมู่บ้านจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเราเดินเท้าไปยังร้านอาหารที่ถูกจองไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่างเดินไปนั้นเราสัมผัสถึงความเจริญของที่นี่มีห้องพักร้านค้า ร้านอาหาร รวมทั้งผับบาร์น่าตื่นตาตื่นใจในบรรยากาศที่หนาวอุณหภูมิเพียงเลขตัวเดียวเพื่อนชาวจีนแอบสะกิดเราว่าตอนเข้าไปร้านอาหารจะมีการต้อนรับด้วยการให้เราดื่มเหล้าของชนเผ่าเตือนว่าห้ามจับกระบอกเขาควายที่ใส่เหล้าไว้เพราะถ้าจับแล้วเป็นกฏว่าต้องดื่มเหล้าในนั้นให้หมด พอไปถึงก็จริงอย่างว่าทุกคนที่จะต้องผ่านเข้าร้านไปได้ต้องดื่มเหล้าทุกคนเรียกว่าจิบๆ ไปก่อนและมีร้องเพลงอะไรสักอย่างที่เราฟังไม่รู้เรื่องพร้อมด้วยเครื่องดนตรีที่ลักษณะคล้ายแคนภาคอีสานบ้านเราเป่าเป็นการต้อนรับพอเข้าไปในร้านเป็นห้องใหญ่ๆ โต๊ะเตี้ยๆต่อเป็นแนวยาวสิ่งแรกที่มาเสิร์ฟคือเหยือกเล็กๆน้ำใสๆ ไม่ใช่น้ำเปล่านะ แต่เป็นเหล้าที่หมักโดยชนเผ่าในใจคิดหิวข้าวแล้วไม่อยากดื่มเหล้าแต่เป็นธรรมเนียมของคนจีนไปไหนก็ต้องทานเหล้ากัน และเปร่งเสียงออกมาว่า “กันเปย” แปลว่าหมดแก้วนะและตรงหน้าก็ยกหม้อต้มส้มปลามาวางส่งกลิ่นหยั่วน้ำลายมากๆ รสชาติอาหารคล้ายๆบ้านเราเลย โดยเราตักน้ำซุปใส่ถ้วยเล็กที่มีพริกป่นใส่ไว้อยู่แล้วหรือจะใส่ผักลงไปในหม้อเหมือนหม้อไฟก็ได้ จากนั้นเมนูยำ เมนูผักก็ตามมาก่อนจะปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวใส่มาในกระจาดแต่ความพิเศษมันไม่ได้อยู่แค่นั้นเพื่อนคนจีนเอาใจเต็มที่มีไวน์ มาให้ทานแก้หนาว(ในใจแค่เหล้าก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว)เมื่อทุกคนทานอาหารกันได้ที่พนักงานที่แต่งตัวสวยมีดอกไม้ดอกใหญ่ทัดหัวเหมือนลาล่า-ลูลู่ ดาราบ้านเราเลย ร้องเพลงและล็อกคอดึงหูเฉพาะผู้ชายให้ดื่มเหล้าของพวกเขาโดยทำการเทเหล้าเป็นถังแกลลอนต่อๆ กันด้วยถ้วยจำนวน 4 ใบเขาบอกว่าเป็นความเชื่อของที่นี่อากาศเย็นแบบนี้ดื่มเพื่อสุภาพและเป็นน้ำที่ไหลมาจากสรวงสวรรค์จากนั้นไปทุกคนตัวแดงและร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน

และหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือการเดินขึ้นเขาในบรรยากาศอันแสนหนาวเพื่อไปจุดชมวิวของหมู่บ้านในยามค่ำคืน เมื่อไปถึงจุดนั้นพวกเราใช้เวลากันไม่นานนักถ่ายภาพอะไรเสร็จก็นั่งรถกลับยังที่พักแต่สิ่งหนึ่งที่เราทราบเลยว่าหมู่บ้านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆมองวิวจุดที่สูงที่สุดไปเห็นไฟเปิดเต็มเขาซึ่งหมู้บ้านนี้มันใหญ่มากๆ

ตื่นเช้ามาด้วยความหนาวจับโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสภาพอากาศ ตอนนั้นมันแจ้งว่า2 องศาเท่านั้น หนาวมากเพื่อนมาปลุกหลายรอบด้วยกันกว่าเราจะเด้งออกจากที่นอนได้สำคัญคืออ่านภาษาจีนบนรีโมทเครื่องทำความร้อนไม่ออกชีวิตพังมากลงมาจากห้องพักเดินบนถนนให้อารมณ์ว่าเราย้อนยุคเข้าไปในเมืองจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่นี่ถูกสร้างออกแบบและอนุรักษ์ไว้อย่างเดิมทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยก็นั่งรถขึ้นไปบนเขาจุดที่เราไปถ่ายรูปเมื่อตอนกลางคืนภาพกลางวันปรากฏชัดบ้านเรือนของ “ชาวเหมียว” ปลูกสร้างไวบนเขามองไปรอบๆเห็นเป็นสีเทาตัดกับสีส้มสวยงาม ผ่านทุ่งนาที่กว้างใหญ่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและหลังๆก็มาทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย เรามีโอกาสได้ใส่ชุดของชาวเหมียวเอาจริงๆก็แอบเนียนๆ หน้าตาละม้ายคล้ายพวกเขาไปได้เหมือนกัน จนนักท่องเที่ยวชาวจีนหลายๆกลุ่มเข้ามาขอถ่ายรูปเราเป็นจำนวนมาก บ้างก็ว่าเป็นคนไต้หวัน ฮ่องกง หรือเวียดนามมาเที่ยวกัน แต่พอบอกไปว่า เราคือคนไทยพวกเขาก็ดูจะชื่นชอบเป็นอย่างมาก

ทริปนี้ไปที่เดียวเรียกว่าคุ้มค่ามากๆได้ทานอาหารที่เรียกว่ารสชาติคล้ายๆ บ้านเราได้ชมศิลปะการแสดง งานหัตถกรรมและวิถีของชาวเหมียว ชมภาพและการรีวิวพร้อมข้อมูลเพิ่มเติมที่ เพจ“เที่ยวเต็มๆ”  https://www.facebook.com/TeawTemTem