Rahaf Mohammed Alqunun หญิงสาววัย 18 ปีชาวซาอุดีอาระเบีย กำลังเป็นประเด็นที่สื่อมวลชนทั่วโลกจับมามองในช่วงรอบวันที่ผ่านมา
เธอระบุว่าหนีจากการแต่งงานที่ประเทศบ้านเกิด มาต่อเครื่องที่ประเทศไทยเพื่อจะลี้ภัยในออสเตรเลีย แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศไทยกักตัวไว้ที่สนามบิน
นอกจากนั้นยังโดนยึดพาสปอร์ตโดยเจ้าหน้าที่ซาอุฯ และเตรียมถูกส่งตัวกลับประเทศ ซึ่งเธอยืนยันว่าถ้ากลับไปครอบครัวจะต้องฆ่าเธอแน่ๆ
โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น หลังจากสำนักข่าวต่างประเทศรายงานตรงกันว่า เมื่อวานนี้ (6 มกราคม 2019) หญิงสาวซาอุวัย 18 ปี Rahaf Mohammed Alqunun ถูกทางการไทยกักตัวไว้เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับยึดเอกสารประจำตัวไปทั้งหมด
เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า เธอหนีจากครอบครัวในประเทศซาอุฯ ด้วยสายการบินคูเวตแอร์ไลน์ มาต่อเครื่องที่ประเทศไทย ก่อนจะลี้ภัยในออสเตรเลีย
สาเหตุที่ต้องหนี เพราะครอบครัวเธอบังคับให้แต่งงาน เมื่อเธอไม่ยินยอมก็ทำร้ายร่างกาย กักขังเธอไว้ถึง 6 เดือน
เมื่อครอบครัวและตัวเธอมาเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศคูเวต เธอจึงใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีจากครอบครัว
เมื่อถามไปยังเจ้าหน้าที่ไทย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล (รักษาการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ระบุว่าได้จับกุมเธอจริง เพราะไม่มีวีซ่าอย่างถูกต้อง ทางการไทยจึงปฏิเสธการผ่านข้ามแดนเพื่อไปต่อเครื่อง
นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับบีบีซีว่า เธอหลบหนีการแต่งงานมาจริงๆ แต่เธอเองก็กลัวว่าจะมีปัญหาหากถูกส่งกลับประเทศซาอุฯ จึงประสานงานเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุฯ เพื่อเข้ามาดูแล
แต่.. ประเด็นซับซ้อนขึ้นเพราะว่า Rahaf ใช้ช่องทางสื่อหลักและสื่อออนไลน์ของเธอ ในการบอกกับโลกภายนอกว่าเธอโดนเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ยึดพาสปอร์ตที่มีวีซ่าออสเตรเลียไป
ส่วนทางด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ระบุว่าไม่ทราบเรื่องว่าเธอมีวีซ่าออสเตรเลีย ระบุเพียงเธอไม่มีเอกสารการเดินทาง ไม่มีเงินติดตัว และกำลังพักในโรงแรมแห่งหนึ่งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
เธอยังบอกเพิ่มเติมว่า เธอเลือกละทิ้งครอบครัว ละทิ้งความเป็นมุสลิม ละทิ้งการแต่งงาน ซึ่งหากเธอโดนส่งตัวกลับประเทศ เธอจะต้องโทษโดนขังคุก และเมื่อถูกปล่อยตัวมา ครอบครัวจะต้องฆ่าเธอแน่ๆ
เรื่องดังกล่าวจึงกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกไปในทันที
ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอใช้ช่องทางทวิตเตอร์ในการติดต่อกับโลกภายนอกมาโดยตลอด อาทิเช่น
เธอจะไม่ยอมกลับประเทศเธอเด็ดขาด จนกว่าจะได้พบกับเจ้าหน้าที่ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
เธอโพสต์ขอร้องให้ทุกคนที่ได้ทราบข่าว โดยเฉพาะผู้โดยสารคนอื่นๆ ร่วมประท้วงการผลักดันเธอกลับประเทศผ่านทางคูเวต
เธอยังบอกเพิ่มเติมว่า โดนสั่งให้อยู่แต่ในห้อง มีเจ้าหน้าที่ (ไม่ระบุสัญชาติ) เฝ้าจับตาดูไม่ให้หลบหนี ทั้งยังจะถูกส่งตัวกลับในเวลาประมาณ 11.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ของ Human Right Watch ออกมาระบุว่าเธอไม่ได้ขอวีซ่าเข้าไทย และไม่ได้มีความประสงค์จะเข้าไทย เธอต้องการเปลี่ยนเครื่องเพื่อยังออสเตรเลียเท่านั้น
ทั้งยังประณามเจ้าหน้าที่ไทย ว่าเหตุใดปล่อยให้เจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุฯเข้าไปในพื้นที่ปิดของสนามบิน ทั้งยังยึดหลักฐานการเดินทางของผู้โดยสารอีกด้วย
ที่มา: itv, afp, bbc และ catdumb