นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) แถลงแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2562 ว่า
“หลังจากติดตามข้อเท็จจริงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เปิดเฟซบุ้ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ของตนเอง เพื่อสื่อสารข้อมูลต่างๆกับพี่น้องประชาชนแล้ว พบว่า กรณีดังกล่าวอาจมีปัญหาข้อกฎหมายตามมา และอาจเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงได้ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มีบทบัญญัติห้ามนายกฯ เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ ถ้าเป็น ก็มีบทบัญญัติให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ดังนั้นกรณีที่นายกฯ เปิดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ จึงอาจเข้าข่ายเป็นเจ้าของสื่อมวลชนใดๆตามมาได้ ทั้งนี้คำว่า “สื่อมวลชน” มีความหมายเช่นใดนั้น นายกฯ ก็ต้องทราบดีมาก่อนแล้ว เห็นได้จากมติ ครม.เมื่อวันที่ 1 ก.ย.58 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …ที่มีความในมาตรา 3 ระบุว่า “สื่อมวลชน” หมายความว่าสื่อกลางที่นำข่าวสาร สาร และเนื้อหาสาระทุกประเภทไปสู่มวลชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ สื่อดิจิทัล หรือในรูปอื่นใด ที่สามารถสื่อความหมายให้ประชาชนทราบได้เป็นการทั่วไป นายกฯ ยังทราบถึงข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญแล้วด้วย ทั้งนี้ ตามความในหนังสือที่ นร 1503/ว(ร)157 ลงวันที่ 5 เม.ย.60 ข้อ 3.2.3 ลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี คือเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ดังนั้นเมื่อนายกฯ รู้กฎหมายอยู่แล้ว แต่ยังเปิดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์และเว็บไซต์ของตนเองเพื่อสื่อสารข้อมูลต่างๆ กับพี่น้องประชาชน ย่อมถือว่าการฝ่าฝืนข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญสำเร็จแล้ว และเข้าข่ายที่จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ดังนั้นในวันที่ 14 ม.ค.นี้ เวลา 11.00 น. ผมจะไปยื่นเรื่องให้ กกต.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่”
matemnews.com
11 มกราคม 2562