สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ว่า สื่อด้านการเงินการลงทุนระดับโลกหลายแห่ง ระบุนักลงทุนรอดูสถานการณ์ในประเทศไทยจนกว่าจะมีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นส่อเค้าทำให้เกิดทางตันในรัฐสภา และอาจเกิดความวุ่นวายในประเทศขึ้น
คลารา เฟอร์เรียรา – มาร์กส์ แห่งรอยเตอร์ เบรกกิ้งวิวส์ ระบุว่า ผลการเลือกตั้งที่วุ่นวายในประเทศไทยขณะนี้ใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คาดไว้ การลงคะแนนเลือกตั้งเพื่อยุติการปกครองโดยตรงของทหาร กลับเกิดความวุ่นวายในการนับคะแนน เกิดข้อกล่าวหาโกงการเลือกตั้ง และพรรคคู่แข่ง 2 เจ้า ต่างอ้างว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ กว่าที่จะรู้ผลที่ชัดเจน อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ ขณะที่กองทุนต่างชาติได้เริ่มเทขายหุ้นออกไปแล้ว
แต่ที่ยุ่งยากไปกว่านั้นคือ ยังต้องมีการจัดสรรจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ที่ใช้สูตรการคำนวณที่ซับซ้อน โดยผลที่ชัดเจนจะออกมาในเดือนพ.ค. ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ภายใต้ระบบใหม่ที่คิดขึ้นมาโดยทหารนี้ นายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงส่วนใหญ่จากทั้ง 2 สภา รวมถึงวุฒิสภาซึ่งมีสมาชิก 250 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลทหารด้วย
นับตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา เงินทุนไหลออกจากตลาดไทยไปแล้วสุทธิมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.58 หมื่นล้านบาท ธนาคารยูบีเอส ของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี
ส่วนบทความของ เดวิด ลี จาก นิตยสารด้านการทหาร และความมั่นคง Jane’s Intelligence Weekly ระบุว่า ผลการเลือกตั้งของไทย บ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่จะมีการประท้วงเกิดขึ้น และอาจจะเกิดทางตันในรัฐสภา ความผิดปกติในการเลือกตั้งที่มีการรายงานตลอดช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึงการที่หลายเขตมีบัตรเลือกตั้งมากกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ บัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรถูกส่งกลับมาไม่ทันเวลา และข้อกล่าวหาโกงการเลือกตั้งทางโซเชียลมีเดีย
เว็บไซต์บลูมเบิร์ก เผยแพร่ บทความของ ดิกชา เกรา นักวิเคราะห์บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) ซึ่งพาดหัวว่า ผลการเลือกตั้งของไทย น่าจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนหยุดชะงัก โดยระบุว่า เศรษฐกิจของไทยน่าจะเผชิญกับความยุ่งยากต่อไป
ขณะที่นักลงทุนยังต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง สืบเนื่องจากการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีความน่าจะเป็นมากขึ้นที่จะมีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ จะเป็นอุปสรรคต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจและการเมือง และทำให้การลงทุนหยุดชะงัก การส่งออกจะผชิญอุปสรรคต่อไป และรัฐบาลใหม่จะไม่ออกนโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริโภคภาคประชาชน
การส่งออกที่ชะลอตัวมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ยังคงอยู่ ญี่ปุ่นและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเป็นตลาดสำคัญของไทย
นักลงทุนต่างชาติน่าจะชะลอการลงทุนเพิ่มในไทย เนื่องจากความไม่แน่ชัดทางการเมืองและสังคม เงินทุนหุ้นต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2012 และผลการเลือกตั้งก็ไม่น่าที่จะช่วยต่อลมหายใจให้กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของไทยได้มากนักในระยะอันใกล้
ส่วนเงินที่ไหลเข้ามาส่วนใหญ่เข้ามาถือครองตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ เนื่องมาจากค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพ ประเทศมีหนี้ต่ำ และมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่แข็งแกร่ง
ขณะที่บทความในเว็บไซต์ realmoney.thestreet.com ระบุว่า จากการคำนวณของไฟแนนเชียลไทมส์ นักลงทุนต่างชาติ ได้ถอนเงินออกจากตลาดหุ้นและพันธบัตรของไทยแล้ว 730 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.3 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หลังจากที่ได้นำเงินเข้ามาลงทุนสุทธิ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.8 หมื่นล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
“แม้นการเลือกตั้งผ่านพ้นไปด้วยดี ผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็แค่ช่วยดันให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้เล็กน้อย ทว่า กองทัพก็ยังมีอำนาจในการปกครองประเทศ โดยมีฉากเงาประชาธิปไตยบางๆคลุมร่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่”