นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวเมื่อบ่าย 25 เม.ย.2562 ความว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “พระพรหมกวี “เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นจำเลย หมายเลขดำ อท.34/2562 ตาม พ.ร.บ.วัตถุโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 4 , 8 , 10 , 32 , 35 และ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2504 มาตรา 45 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 , 93 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.วัตถุโบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 10 , 32 วรรคสอง , 35 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 ประกอบมาตรา 84 วรรคสองซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุกจำเลย 3 ปี ปรับ 60,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 30,000 บาท และเมื่อได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติและสติปัญญา การศึกษา และอาชีพ สิ่งแวดล้อม ของจำเลย ซึ่งเป็นพระภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติตนอยู่ในศีล ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหลวง เพื่อปรับปรุงพัฒนาวัดและยังจัดตั้งโรงเรียนสงฆ์อีกด้วย การที่จำเลยบูรณปฏิสังขรณ์วัด ทำให้ทัศนียภาพของกุฏิสงฆ์ ศาลาภายในวัด สวยงามดั้งเดิม ตลอดจนภาพลักษณ์ของวัดมีความปลอดภัยมากขึ้น สมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำชาติไทย ประกอบกับไม่มีเรื่องของการทุจริตหรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตน และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยได้บังอาจปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ด้วยการร่วมกับพวกซึ่งแยกไปดำเนินคดียังศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอีกส่วนหนึ่ง ก่อนใช้ให้ นายฉลอง ไทยขำจำ เลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2364/2559 ของศาลอาญาธนบุรี ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษไปแล้วกับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ด้วยการใช้จ้างวานยุยง ส่งเสริมให้ ทำลายกุฏิพระคณะ 1 จำนวน 1 หลัง และศาลาราย 1 หลัง ซึ่งเป็น อสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ภายในวัดกัลยาณมิตรฯ อันเป็นโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว ที่จำเลยต้องมีหน้าที่ดูแลจัดการให้เป็นไปด้วยดีตามกฎหมาย
การที่จำเลยกับพวกได้ร่วมทุบทำลายทำให้เสียหาย ทำให้เสื่อมค่าไร้ประโยชน์ซึ่งกุฏิสงฆ์คณะ 1 และศาลารายดังกล่าว อันเป็นโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วตามกฎหมายโดยไม่รับอนุญาตเป็นหนังสือ หรือเป็นการทำตามคำสั่งจากอธิบดีกรมศิลปากร จึงเป็นความผิดตามกฎหมาย
matemnews.com
25 เมษายน 2562