ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ “ลดโทษ” บุตรสาวอดีตผู้ว่าการ ททท. คดีรับสินบนการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ นานาชาติกรุงเทพปี 2546 เหลือ 40 ปี และยกคำร้องริบทรัพย์เงินในบัญชีต่างประเทศ กว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนนางจุฑามาศ อดีตผู้ว่าการ ททท. พิพากษา จำคุก 66 ปี ตามศาลชั้นต้น
วันที่ 8 พ.ค.62 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่า ททท. และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ บุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, มาตรา 11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12
คดีนี้สืบเนื่องจาก ระหว่าง 25 ก.ย. 2545 – 20 ต.ค. 2549 จำเลยที่ 1 เรียกรับเงินจากนายเจอรัลด์ กรีน และนางแพทริเซีย กรีน สามีภรรยา นักธุรกิจชาวอเมริกัน โดยจำเลยที่ 1 แนะนำให้สามีภรรยา จัดตั้งบริษัทหลายแห่งเพื่อเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ นานาชาติกรุงเทพปี 2546 และ ททท.โดยจำเลยเรียกรับเงิน รวมกว่า 1,822,294 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ ราว 60 ล้านบาท แลกกับการให้บริษัทของสามีภรรยา ได้ทำสัญญาจ้างการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ โดยบุตรสาวของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุน ให้เปิดบัญชีธนาคาร HSBCPCL ประเทศอังกฤษและบัญชีฃธนาคาร HSBC INTERNATION LIMITED ไอยล์ ออฟ เจอร์ซีย์ ธนาคารซิตี้แบงก์ และธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์ตอร์ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งคู่ถูกเบิกตัวมาจากทัณฑสถานหญิงกลางมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วนในประเด็นที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินงานบางกอกฟิล์ม เฟสติวัลปี 2550 ดังนั้นจึงพิพากษาแก้โทษจำคุกจำเลยที่ 2 จาก 11 กระทง เหลือ 10 กระทง คงเหลือจำคุก 40 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาชั้นต้นคือ จำคุก 66 ปี แต่นับโทษคงจำคุกสูงสุด 50 ปี และให้ยกคำร้องริบทรัพย์ เงินในบัญชีต่างประเทศจำนวน กว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากโจทก์ ไม่ได้ขอให้มีการริบทรัพย์จึงเห็นว่าเป็นการพิพากษาเกินเลยไป
อย่างไรก็ตามคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกนางจุฑามาศ เป็นเวลา 66 ปี แต่นับโทษคงจำคุกสูงสุด 50 ปี และจำคุกนางสาวจิตติโสภา 44 ปี เนื่องจากมีหลักฐานว่านักธุรกิจสามีภรรยา โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เซ็นต์อนุมัติ และสั่งริบเงินจำนวน 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐและดอกผล ซึ่งศาลกำหนดทรัพย์สินเป็นเงิน 62 ล้านบาทเศษ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน